"ปู" เคลียร์ชัดปมดราม่าธุรกิจอาหารเสริม ลั่นอยากจบด้วยสันติวิธี

"ปู" เคลียร์ชัดปมดราม่าธุรกิจอาหารเสริม ลั่นอยากจบด้วยสันติวิธี

             เป็นประเด็นดราม่าลุกลามที่ไม่สามารถตกลงจบกันด้วยดีจนทำให้เกิดเป็นคดีความฟ้องร้องเกิดขึ้น กับกรณีปมขัดแย้งธุรกิจอาหารเสริมระหว่าง “ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์-ดีเจมะตูม เตชินท์ พลอยเพชร” และ "ปู ไปรยา ลุนด์เบิร์ก" ล่าสุดเมื่อเจอสาว "ปู ไปรยา" เจ้าตัวก็ออกมาเปิดใจเคลียร์ถึงประเด็นดังกล่าวให้ฟังว่า

อ่านข่าวต่อ :

ทนาย "ปู ไปรยา" มั่นใจหลักฐาน ฟ้องมาอาจจ่อฟ้องกลับ

เรียงไทม์ไลน์ศึกอาหารเสริม "ปู-มะตูม-ต้นหอม"

             จริงๆ เรากับทางทนายจะแบ่งหน้าที่กัน เหตุผลที่ให้ทนายมาแถลงข่าวก่อนหน้านี้เราได้ชี้แจงในเฟซบุ๊กไปแล้วรอบหนึ่งว่าจะไม่พูดด้วยตนเอง เพราะไม่อยากจะพาดพิงหรือกระทบถึงฝ่ายไหน และรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้พื้นที่สื่อเพื่อจะพูดถึงใคร แต่เรามีหน้าที่อยู่หน้ากล้องก็ต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งทางทนายจะเป็นคนจัดการสัญญา ดูรายละเอียด รวมถึงจัดการเรื่องนี้ด้วย ซึ่งในใจเราก็หวังว่าจะหาทางออกที่จบโดยสันติวิธีได้ อยากให้เป็นอย่างนั้นมาก

             เรามีเวลา 2 อาทิตย์ครึ่งในช่วงที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยได้ไตร่ตรองพิจารณา หลายอย่าง รู้ว่าใจตัวเองต้องการอะไร รู้ว่าตัวเองต้องการให้ทุกฝ่ายจบอย่างแฟร์ และด้วยสันติวิธี ยันเราไม่มีทัศนคติอย่างอื่น มีแต่ความหวังว่าจะสามารถหาทางออกที่แฟร์กับทุกฝ่ายได้ก็แค่นั้นเอง ซึ่งเราก็พร้อมที่จะพูดคุยกับทนายและทางทนายฝั่งเรากับทนายฝั่งเขาทุกเวลา กับการคุยนอกรอบต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของทางกฎหมาย โดยทางศาลที่นัดเราก็ไม่ทราบวันที่เลย ปล่อยให้ทางทนายเป็นคนจัดการ เพราะการทำงานของเรากับทนายจะได้ไม่แทรกแซงกัน

             ตั้งแต่ต้นเลยเราเป็นคนที่อยู่หน้ากล้อง และทางทนายจะเป็นคนที่ปกป้องในทุกสัญญาที่เราทำ ก็มีข้อจำกัดค่อนข้างชัดเจน เนื่องจากเราค่อนข้างซีเรียสเรื่องคำพูด ในข้อสัญญามันเป็นสิ่งที่ปกป้องตัวตนและเป็นการชี้แจงในการทำงานอย่างเคสนี้ และหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกเราจะให้ทางทนายเป็นคนจัดการ ส่วนตัวก็ทำหน้าที่ทำงานไป

             ถามว่าตอนนี้ยังกังวลอะไรอยู่ไหม อย่างเมื่อก่อนจะเป็นคนทำอะไรใช้อารมณ์ แต่ในสถานการณ์แบบนี้เราเข้าใจทุกฝ่าย อย่างเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้อ่านและได้ฟังบทสัมภาษณ์ของทุกฝ่ายแล้ว เลยไม่มีอารมณ์อะไรเหลือนอกจากคิดว่าอยากหาหนทางที่ออกมาแล้วไม่มีผลกระทบที่เสียหายกับทุกฝ่าย ซึ่งหากเราพูดออกไปแล้วทำให้กระทบกระเทือนถึงใคร หรือมีคนแสดงความเห็นถึงเขาก็ไม่ทำให้เรามีความสุข เราเป็นคนที่เข้มงวดเรื่องสัญญา อย่างลูกค้าทุกคนที่ทำงานด้วยก็เข้มงวดเช่นกัน การทำงานต้องอยู่ในสโคปของงานที่มาจากคำพูดในสัญญา ซึ่งก็ต้องทำตาม เราเลยไม่สามารถชี้แจงได้ว่าจุดเริ่มต้นหรือปัญหาเริ่มจากอะไร วันนั้นก็ให้ทางทนายแถลงไปแล้ว ทำให้เราไม่สามารถพูดอะไรได้มาก และคิดว่าไม่เหมาะที่จะพูดรวม ทั้งไม่สามารถแจงได้ชัดเท่ากับทนาย

             ส่วนที่ทางทนายบอกว่ากรณีนี้มีผลกระทบกับงานของเรานั้น ทางเขาก็พูดด้วยความเป็นห่วง แต่ถ้าพูดตรงๆ ลูกค้าทุกคนเป็นกำลังใจให้เราอย่างดี และส่วนตัวมีเวลาเกือบ 2 อาทิตย์ที่จะนั่งพิจารณาทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เลยมองว่าผลกระทบกับงานไม่มีเลย แต่วันนี้เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนเสื้อให้สัมภาษณ์เพราะอย่างที่บอก ชีวิตนี้เราทำงานมาหลายปีมาก และมีบางเรื่องที่แคร์และรักมาก คือ เรื่องการทำงานสังคม เลยขอสงวนสิทธิ์ในวันนี้ที่จะไม่พูดถึงประเด็นดราม่าธุรกิจในงานวันนี้ และช่วงเวลานี้ที่เป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลองของประเทศด้วย เลยขอยุติและหยุดพูดเรื่องข่าวนี้ แต่ที่ได้แจงกับพี่สื่อมวลชนและแฟนๆ เพราะเชื่อว่าทุกคนรอฟังคำพูดจากเราอยู่ ย้ำชัดคำพูดวันนี้ของเรามีอย่างเดียวคือ ถ้าจบด้วยสันติวิธีได้ก็ขอความกรุณาอยากจบ

             ด้าน "กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ ชี" ที่ถูกพาดพิงถึงด้วย ก็ได้คุยแล้ว ที่เราได้คอมเมนต์ลงไปในเพจเขาว่า รู้นะไม่ได้พูดถึงเราตอนที่เราอยู่อเมริกา เขาก็บอกว่าไม่ได้พาดพิงถึง ซึ่งเราก็เชื่อ และรู้สึกว่าอย่าเอาคนอื่นมาเกี่ยวเลย จากประสบการณ์ของคนที่เป็นข่าวรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดีเลย วันนี้ไม่ต้องการให้คำพูดใดที่ออกจากปากเราทำให้สถานการณ์หรือใครรู้สึกไม่ดี ถ้าเป็นไปได้กรณีนี้อยากจะให้ออกมาในรูปแบบที่มีความเมตตา ความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยการมีปากเสียงหรือมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งออกสื่อไม่ใช่เรื่องที่ดี

             ช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีความเครียดหรือวิตกอะไร พอเราเป็นผู้ใหญ่โตขึ้นก็ต้องรู้ว่าการใช้อารมณ์มันไม่ได้เป็นทางออกที่ดีที่สุด ส่วนตัวก็เคยใช้อารมณ์ ไม่ใช่ไม่เคย เลยมองว่าในกรณีนี้ต้องมองที่กระทำก่อน แล้วมามองที่เหตุผลต่อด้วยหลักการ และจะเดินต่อไปข้างหน้ายังไง ซึ่งทางออกของเราคือ อยากให้ทุกฝ่ายจบโดยดี เราไม่ได้ต้องการอะไรจากสิ่งนี้ และเชื่อมั่นว่าที่มาถึงจุดนี้ได้ก็มีตั้งแต่กติกาสัญญา เรื่องข้อตกลง มีเรื่องรายละเอียดที่ไม่สามารถชี้แจงเพิ่มเติมได้ แต่วันนี้ได้มาเจอกับพี่ๆ สื่อแล้วก็ไม่อยากพูดให้กระทบใคร และอยากพูดด้วยความเข้าใจ

             สำหรับกรณีนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจเรื่องงานในอนาคตไหม ทุกอย่างในชีวิตคือประสบการณ์ บางครั้งเวลาทำงานก็ไตร่ตรองตัดสินใจ แต่ส่วนตัวขอพูดก่อนว่าได้ทานสินค้าเขาจริงๆ และไม่เคยพูดถึงสินค้าในทางลบเลย พร้อมยืนยันสินค้าเขามี อย. ถูกต้องแน่นอน อยากจะพูดให้เขาสบายใจตรงนั้น เพราะถ้าการที่ไม่ชัดเจนเรื่องนี้อาจจะมีผลกระทบได้ และสัญญาตัวนี้ก็ถูกร่างโดยทนายของเรา อย่าง "คุณชาย" ที่ค่อนข้างละเอียดแล้ว

             เรื่องนี้จะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะจบได้ ถ้าเป็นไปได้อย่างที่บอก หากจบด้วยสันติวิธีคือดีที่สุด แต่ตอนนี้ชีวิตเราต้องการการกับอะไรที่เยอะมากเลยปล่อยให้ทางทนายเป็นคนจัดการ และไม่ได้มีการถามหรืออัพเดทว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะเราถือว่าได้มอบหมายงานให้เขาแล้ว ก็ปล่อยให้เขาจัดการไป โดยทางแฟนหนุ่มอย่าง "แมทธิว" เขาก็เป็นกำลังใจที่ดี และคงไม่เหมาะสมถ้าเราจะบอกความคิดเห็นเขาออกสื่อ แต่ทางเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะรู้ว่าโตกันแล้ว ต่างคนต่างรับผิดชอบในงานของตัวเอง เราเชื่อว่าเรื่องนี้ได้ทำหน้าที่ของเราดีที่สุด และมั่นใจในเอกสารที่มีอยู่ แต่ถ้าพูดว่ามั่นใจหวั่นจะกระทบกับอีกฝ่ายเลยขออนุญาตสงวนสิทธิ์ไม่ใช้คำนั้น แต่สิ่งที่อยากจะย้ำให้ชัดเจนถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทุกฝ่ายจบกันด้วยดี