“อ่ำ อัมรินทร์” ดีใจ หวนคืนวงการเพลงในรอบ 15 ปี

“อ่ำ อัมรินทร์” ดีใจ หวนคืนวงการเพลงในรอบ 15 ปี

              หวนกลับมาสร้างเสียงเพลงให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงอีกครั้ง สำหรับอดีตนักร้องชื่อดังอย่าง “อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน” หลังจากที่ห่างหายไปนานเกือบ 15 ปี ล่าสุดมีโอกาสเจอตัวเลยไม่พลาดที่จะถามถึงความรู้สึกในครั้งนี้สักหน่อย ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า

อ่านข่าวต่อ : “อ่ำ อัมรินทร์” ภูมิใจ “แอลลี่” เตรียมโกอินเตอร์ ไม่ติดหากลูกต้องพักการเรียน

              เราอาจห่างหายไป 15 ปีที่ไม่ได้ทำเพลงมาตรฐาน ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะมีทำเพลงลง YouTube คนดู 5,000 วิว ก็ทำเล่นๆ อย่างที่ตัวเองอยากจะทำในเพลง เช่น แต่ง ถ่าย MV เองง่ายๆ แต่ตอนนี้มันเป็นระบบงานมาตรฐานเหมือนตอนอยู่แกรมมี่ มีการจัดคัดสรรเพลง มีที่ประชุม มีทีมพีอาร์ มีการประชาสัมพันธ์ มีงบประมาณในการทำงานกับ บริษัท ข้าวสาร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และให้บริษัทลูก คือ ข้าวสารเรคคอร์ด มาดูแลเรา

              หลายคนสงสัยว่าจะมีโอกาสได้เห็นหลายๆ เพลงไหม ก็มีคุยๆ อยู่ เมื่อวันก่อนเข้าไปประชุม ถามว่าจะทำเพลงอื่นไปด้วยได้ไหม ซึ่งเขาก็บอกว่าไปทีละเพลงก่อน อาจจะไม่ได้มาทีเดียว 5 เพลงให้ได้ฟังกัน เพราะเดี๋ยวนี้งานทั้งหมดก็จะเป็นรูปแบบทีละเพลง ไม่มีใครปล่อยมาเต็มอัลบั้มหรอก

              ถ้าถามว่าในเนื้อเพลงที่ปล่อยมาเรามีส่วนร่วมในการแต่งเพลงไหม คือ ตอนแรกที่เราเสนอเนื้อเพลงกับทางบริษัทที่จะเข้าร่วมโครงการขอบคุณที่กลับมา เป็นเพลงที่แต่งเอง ทั้งทำนอง คำร้อง ทำเองหมดเลย ซึ่งก็ผ่านในที่ประชุมแล้ว แต่ตอนนั้นเขาบอกว่าขอเวลาในช่วงระหว่างนี้หาเพลงที่ดีที่สุด ถ้าเกิดมันหาเจอก็ลองดูไหม ซึ่งเราก็เปิดกว้างอยู่แล้ว ยอมในรับในสิ่งที่ผู้ใหญ่ทางบริษัทเขาเสนอมา มันก็ผ่านมาหลายเพลง

              จนเริ่มสงสัยว่าเราจะได้ทำโปรเจ็คท์นี้หรือเปล่า สุดท้ายก็ได้ฟังเพลง “ไม่มีสวรรค์” ก็สรุปได้เลย ไม่ใช่ว่าอยากจะร้องหรือกลัวไม่ได้ทำ มองว่ามันดีแล้ว เลยไปถึงขั้นตอนการบันทึกเสียงก็ผ่านไปด้วยดี ต่อมาก็ขั้นตอนการทำมิวสิควิดีโอ ก็จะมีทีมที่เป็นมืออาชีพ ที่ไม่ใช่พี่น้องถ่ายกันเอง จากนั้นก็มาทำให้ในระบบของขั้นตอนงบประมาณต่างๆ จนปล่อยออกมาอย่างที่เห็น ต้องบอกว่า เพลงที่แต่งก็มีเก็บไว้อยู่เยอะมาก หลายสิบเพลง แต่เพลงที่จะเอามาให้ฟังคิดว่ามันจะมาประชาสัมพันธ์ให้เกิดผลประโยชน์กับองค์กรอย่างที่ทำให้บริษัทน่าจะยาก มองว่าน่าจะเป็นเรื่องการทำส่วนตัว หรือต้องใช้เวลาในการที่จะเตรียม

              ในส่วนของบริษัทที่เราอยู่ไม่มีการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แค่คุยตกลงกัน เป็นสัญญาปาก สัญญาใจก็พอ ทำด้วยใจรัก เวลาทำงานเราก็บอกกับผู้บริหาร ซึ่งเขาก็พยายามอธิบายให้เราฟังว่า ทำงานให้สบายใจมันจะได้เต็มที่ ถ้าทำงานแล้วต้องมาติดสิ่งต่างๆ จะกลายเป็นการทำงานไม่สะดวก ซึ่งเราก็สบายใจแบบนี้ ไม่ได้คิดว่าทำอันนี้เสร็จแล้วเดี๋ยวจะแวะไปทำที่อื่น ก็ทำโปรเจ็คท์นี้ให้มันสำเร็จลุล่วงได้ดีไปก่อน ด้านลิขสิทธิ์เพลง ถ้าเกิดเพลงดังขึ้นมันก็ดี

              เรื่องค่าตอบแทน ส่วนนี้เราไม่ได้คุยกัน คิดว่าเพลงมันดี ได้กระแสตอบรับในความนิยม เราก็จะมีทางได้ร่วมคอนเสิร์ตกับศิลปินท่านอื่นๆ ที่จะไปโชว์ทั่วประเทศไทย น่าจะเป็นผลตอบรับของเรามากกว่า ส่วนในเรื่องของความสุขที่จะกลับไปหาแฟนๆ เพลงที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ หรือค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้างกลับมา ซึ่งเขาก็ลงทุนให้เราเยอะ ในเรื่องต่างๆ หมดไปหลายล้านในศิลปินแต่ละคน จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องตรงนี้เท่าไร ไปคิดถึงวันข้างหน้าที่มันสำเร็จก่อนดีกว่า ถือว่าวันข้างหน้าเป็นโบนัสให้เราพอ