“หมอริท” ไม่ได้คุย “โตโน่” ลั่นถ้าตัดเรื่องถูกผิดออกไป อีกฝ่ายรับผลที่เกิดขึ้นเยอะแล้ว
เรียกว่าธุรกิจก้าวไปอย่างสวยงามสำหรับ “หมอริท” หรือ “นพ.เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช” ที่ล่าสุดฉลองก้าวสู่ปีที่ 6 THE RITZ CLINIC ล่าสุดเจอตัวงานนี้ก็ไม่พลาดที่จะถามเรื่องขยายสาขาธุรกิจในขณะที่หลายคนบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี รวมไปถึงเรื่องพี่ชายคนสนิท “โตโน่ ภาคิน” กับเรื่องราวมรสุมดราม่าก่อนหน้านี้ด้วย
อ่านข่าวต่อ: แฟนๆ จับตา! พระเอกคนนี้เสียบแทน “โตโน่” ประกบคู่ “อิงฟ้า” ในโปรเจ็กท์ใหม่
สำหรับเรื่องธุรกิจความงามจะบอกว่าปีนี้เป็นปีที่โหดและยากมากๆ เศรษฐกิจชะลอตัว ทุกคนเก็บเงินไว้เพื่อความจำเป็น ตัวริทวางแผนตั้งรับตั้งแต่ปีที่แล้ว ริทหยุดขยายสาขา แล้วเอาโอกาสที่คนกำลังชะลอตัวในการใช้เงินมาเป็นจังหวะเซ็ตมาตรฐานให้ดีขึ้น คิดว่าไม่น่ามีปัญหา เราทุกคนต้องผ่านวิกฤตเศรษฐกิจนี้ไป จริงๆ มันก็ทุกธุรกิจ ทุกคนกำลังพยายามกันอย่างดีที่สุดให้ผ่านไปให้ได้ ทุนของเราก็หลายร้อยล้าน เราก็พยายามเติบโตให้มากขึ้น เราเติบโตด้วยการที่ใช้ผลประกอบการขยายธุรกิจในที่ผ่านมา ก็เติบโตไปเรื่อยๆ อยากจะเป็นบริษัทที่มั่นคง
ส่วนเรื่องดราม่าของ “โตโน่” เอาตรงๆนะ ไม่ได้คุยกันเลยครับ ริทเป็นคนปลีกตัวเองออกมาเองเพื่อออกมาทำงาน เพื่อนๆ ที่อยู่ในวงการบันเทิงที่เคยสนิทกันมาก่อน ริทเป็นคนที่ติดต่อกับคนอื่นน้อยลงเองด้วยทั้งหมด จะมีส่วนมากก็คือคนที่เรายังต้อง เช่น คนที่สนใจเรื่องความงาม เขาก็จะมาปรึกษา มาเจอกันที่คลินิก ก็เป็นคนกลุ่มนั้นที่จะได้คุยกัน ใครที่ไม่ได้จะมาเข้าคลินิกก็จะได้คุยกันน้อยมากๆ
อย่าง “กัน นภัทร” คือเข้ามาคลินิกบ่อย ริท กับ กัน เลยได้คุยกันค่อนข้างเยอะ เพราะเขาเข้าคลินิกบ่อยกว่าริทอีก เขาแทบจะเป็นหนึ่งในเจ้าของแล้ว คือมันเหมือนต้องมีจุดเริ่มต้นในการคุย ริทโฟกัสกับงานมาก และตอนนี้ริทโฟกัสกับการทำงานอย่างเดียว ริทโฟกัสกับการทำหลังบ้าน ริททำโปรเซสไอบีโอ ใครทำก็จะรู้ว่ามันกินเวลาชีวิตมากๆ ชีวิตส่วนตัวเรามันก็หายไป เพื่อนและครอบครัวก็มีเวลาให้น้อยลง”
หลังจากตอนนั้นที่แยกย้ายกันไปเติบโตก็หายกันไป เราเจอกันน้อยลงด้วยความที่ริทตอนนี้อยู่กับคนนอกวงการหมดเลย ทุกวันนี้คุยแต่เรื่องงาน ใครไม่ได้คุยงานกับริทก็จะไม่ได้คุยกัน แต่ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดกัน ไม่ได้ทะเลาะกับใครนะ ถ้าย้อนกลับไป เหตุการณ์คราวก่อนริทเป็นคนผิด ริทไม่ควรทำแบบนั้น แต่ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกันและไม่ควรรื้อฟื้นกล้บไป มันก็เป็นดิจิตอลฟุตปริ้นไปแล้ว ก็เอาเป็นว่าเรื่องในอดีตหรือปัจจุบันก็ไม่ควรเอามาซ้ำเติมกัน เขาจะทำดี ไม่ดีในส่วนไหน เป็นเรื่องส่วนของเขาดีกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องไปให้ความเห็นกับตรงนั้น และริทว่าริทไม่ควรจะต้องมาให้ความเห็นอะไร
ก็ขออยู่ห่างจากเรื่องนี้ และมันก็ห่างจริงๆ เพราะไม่ได้คุยกันเลยจริงๆ วงโคจรเราไม่ได้เจอกันเลย ริทเองก็ไม่รู้จะให้กำลังใจยังไง พี่เขาเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาได้โดยตลอด เขายึดมั่นและแน่วแน่ในความคิดของเขามา คนที่คลุกคลีกับเขาจะรู้กันอยู่แล้ว
ซึ่งริทว่าปัญหานี้เขาก็มีวิธีในการจัดการของเขาเองในแบบของเขา ซึ่งในแบบของเขาและของเราก็อาจจะไม่เหมือนกัน ริทไม่ได้คุยแบบไม่ได้คุยเลย แม้แต่คนรอบตัวเราก็ไม่ได้เอาประเด็นนี้มาพูดกัน ตัดเรื่องผิดเรื่องถูกออกไปก่อนนะ ริทว่าเขาได้รับผลกระทบเยอะแล้วนะกับสิ่งที่เกิดขึ้น