ดราม่าโซเชียล “ขอโทษ” เพราะรู้สึกผิด หรือเพราะสังคมบอกว่าผิด
ดราม่ากับคนดังไม่รู้ทำไมถึงเป็นของคู่กันตามติดเป็นเงาไปได้ ยิ่งยุคโซเชียลมีเดียบูมในปัจจุบันกระดิกครั้งเดียวอาจจะชีวิตเปลี่ยนจากที่มีคนรักคนนิยมกลายเป็นระเบิดโดนสาดโคลนไปถึงบุพการี ทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นอาจมาจากไม้ขีดก้านเดียว เพราะว่านอกจากการเป็นที่รู้จักในคนหมู่มากแล้ว เน็ตไอดอล ดารา หรือ
เซเลปต่างมีภาพลักษณ์และความคาดหวังพ่วงมาจากมุมมองของคนที่ติดตามด้วย ทำให้พวกเขารับทั้งคำชมยามเป็นที่พึงพอใจ และต้องแบกความไม่ถูกใจเมื่อผิดแผกไปจากเสียงที่สังคมกำหนด บุคคลที่มีชื่อเสียงเลยต้องรับมือมากกว่าคนทั่วไปไปโดยปริยาย
อ่านข่าวต่อ : “นัท นิสามณี” โพสต์เตือนตัวเองตายเพราะปากขาดสติ
ทางออกที่ดูจะเป็นไปได้และมีผลดีต่อตัวบุคคลที่มีชื่อเท่าที่เห็นมามีทางเลือกไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคือขอโทษ วิธีการสากลและเป็นการสงบศึกที่เรียบง่ายที่สุด ศาสตร์แห่งการขอโทษไม่ได้เป็นการสำนึกถึงความผิดหรือรู้สึกผิดเท่านั้น แต่เป็นการปล่อยให้สังคมพึงใจ กับการพิพากษาในสิ่งที่หลายๆ ครั้งไม่ได้ผิด-ถูกตามกฎหมายหรือแหกแบบแผนประเพณี แต่กระทบความรู้สึกของคนหมู่มาก และผลลัพธ์ต่อตัวคนมีชื่อเสียงเองก็ยังมีที่ยืน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่มีชื่อเสียง ต้องอาศัยเสียงจากสาธารณะชนมาสนับสนุนให้เกิดความดังขึ้น เมื่อบุคคลมีชื่อเสียงไม่ได้ทำให้สิ่งที่สังคมคาดหวังได้อาจก่อให้เกิดความรู้สึกผิดในใจต่อตนเองและสังคมนั้นเอง
นักจิตวิทยาสังคม Steven Scher ของมหาวิทยาลัย Eastern Illinois เขียนแนะนำถึงองค์ประกอบการขอโทษไว้อย่างน่าสนใจ 5 ประการว่า
1. แสดงออกถึงความรู้สึกผิด เช่น ฉันขอโทษ, ขออภัย, ขอแสดงความเสียใจ
2. อธิบายถึงสาเหตุหรือเหตุผลที่ทำความผิดหรือสิ่งๆ นั้น
3. แสดงออกถึงความรู้สึกอยากรับผิดชอบต่อความผิดนั้น
4. ให้สัญญาว่าจะไม่ทำความผิด หรือทำสิ่งเดิมอีก
5. เสนอวิธีการแก้ไข หรือเอ่ยให้ความช่วยเหลือชดเชยสิ่งที่ทำลงไป
ซึ่งการขอโทษจะได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับระดับความผิดหรือความกระทบกระเทือนที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาหรือเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นโดยตรง แต่ก็เป็นการเยียวยาทางความรู้สึกเบื้องต้นที่เร็วและง่ายที่สุด นิยมใช้กับในทุกๆ วงการที่ต้องพบปะเข้าสังคมโดยทั่วไป
source : www.rd.com http://johjaionline.com/