เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “ออกัส วชิรวิชญ์” จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง
โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง มีผลงานให้ได้ติดตามมากมาย ทั้งซีรีส์ ละคร หรือแม้แต่ภาพยนตร์ที่เตรียมจะเข้าฉายให้แฟนๆ ได้ชมอย่างเรื่อง “พี่นาค” สำหรับนักแสดงหนุ่มมากฝีมือ “ออกัส วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์” วันนี้ “ดาราเดลี่” จะพาไปเปิดประวัติและพูดคุยถึงเส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของหนุ่ม “ออกัส” กัน
ชีวิตในวัยเด็กก็มีแต่กีฬามาตลอดชีวิต คือที่เราเลือกกีฬา เราเป็นคนเรียนไม่เก่งมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ไม่ได้ชอบการเรียน เพราะว่าเราทำได้ไม่ดี แต่ว่าสิ่งที่เราทำได้ดีคือกีฬา เราก็เลือกฟุตบอล เลือกบาสเกตบอล เลือกเล่นปิงปอง จนสุดท้ายก็มาเลือกเทนนิส ตั้งใจว่าจะเป็นนักเทนนิสระดับโลกเลย (ยิ้ม) ก็ซ้อมทุกวันแล้วก็แข่งถึงระดับจูเนียร์โลก เราก็เป็นต้นๆ ของประเทศในอายุ 18 ปี ก็กะว่าให้เป็นอาชีพเลย แต่ก็ความฝันพังทลายเพราะว่าไประดับโลกไม่ได้ พอเราเกินอายุ 18 ปี แล้วเราจะไม่ใช่เยาวชนแล้ว จะกลายเป็นระดับทั่วไป ตอนนั้นเราก็ท้อ ถ้าจะเป็นระดับโลกได้เราต้องเป็นระดับต้นๆ ของประเทศให้ได้ก่อน ซึ่งคนเก่งมันก็เยอะ แล้วด้วยสรีระรูปร่างของเราก็ผอม สู้ฝรั่งไม่ได้ รู้สึกว่าเราไปทางด้านนี้ไม่ได้ ก็รู้สึกเสียใจ
คือเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณแม่ก็ส่งเสริมแล้วก็พอรู้ว่าเราไประดับโลกไม่ได้หรอก ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เอเชีย เราก็จะผอมแล้วกระดูกเล็กว่าฝรั่งแน่นอน แต่ด้วยที่ว่าใจรักมาก ใจก็สู้ จนสุดท้ายแล้วเราไปไม่ได้ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงรอเข้ามหาลัยปี 1 ก็เลยรอเข้ามหาลัยอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไร หลังจากที่เสียใจกับเทนนิสที่ไประดับโลกไม่ได้ คุณแม่ก็เหมือนหาอย่างอื่นให้เราทำ คุณแม่ก็เลยให้เราไปแคสต์ซีรีส์ ซึ่งตอนนั้นช่วงที่เราเฟลจากความฝันของเรามา เราก็เลยโอเคไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว ก็เลยโอเคตามคุณแม่ดู ก็เลยไปแคสต์ Lovesick the Series เป็นเรื่องแรก
เส้นทางเข้าสู่วงการบันเทิง เราก็ไปแคสต์มาหลายที่ แคสต์ครั้งแรกก็ยังตีเทนนิส แต่เราก็ยังไปแคสต์ Lovesick แล้วเราก็ได้ ก็คิดว่าคงไปเล่นเป็นตัวประกอบ ข้าเวลาสนุกๆ ไป ปรากฏว่ายังไม่ได้เล่นเลย แค่ไปเวิร์คชอป ก็มีแฟนคลับแล้ว มีคนซื้อของมาให้ พอไปถ่ายซีรีส์แล้วออนแอร์ ก็กลายเป็นว่าซีรีส์ดังขึ้นมาเป็นพลุแตก ก็เป็นว่ามีแฟนคลับ มีงานติดต่อเข้ามา ไปร้องเพลง อีเว้นท์ เพราะเราแฟนคลับเยอะ ก็ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส ขอบคุณแฟนคลับด้วยที่ทำให้เรามีงานแล้วก็ทำให้เราไปเจอผู้ใหญ่ด้วย กลายเป็นว่าเราก็เข้าวงการแบบงงๆ ในตอนนั้น จนถึงตอนนี้ (ยิ้ม)
ตอนที่แคสต์คาดหวังไหม ตอนนั้นไม่คาดหวังเลย ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นใจเราอยู่กับกีฬาเทนนิสอย่างเดียว เศร้ากับเทนนิสอย่างเดียว ก็เลยต้องสู้ไปเรื่อยๆ เราตั้งใจแค่มาแคสต์เล่นๆ มาทำว่างๆ อะไรอย่างงี้ ก็ไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะได้หรือไม่ได้ แล้วก็ไม่คิดว่าจะดังด้วย ซึ่งคุณแม่ก็ดีใจกับเรา คุณพ่อทำงาน พี่ก็แบบไม่คิดว่าเราจะมีชื่อเสียงมาก แค่ซีรีส์วายเรื่องหนึ่ง แล้วก็เป็นซีรีส์วายเรื่องแรกของประเทศ เขาก็ไม่ได้อะไรมาก พอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา เขาก็เลยแซวว่าเป็นหรือเปล่าเนี่ย (หัวเราะ) เพราะว่าคนจับจิ้นกับ “เงิน อนุภาษ เหลืองสดใส” พอภาพออกมาคือ “กัส” กับ “เงิน” เหมือนเป็นแฟนกัน ไม่ว่าจะออกงานไหนจะทำงานอะไรเหมือนเคมีมันได้ ภาพมันก็เลยติดมาก็จะโดนพี่ๆ เพื่อนๆ แซวมากกว่า
ครั้งแรกกับการแสดงกังวลขนาดไหน ตอนนั้นไม่ได้สนใจ พอเริ่มมีผลงานต่อไป เพื่อนๆ ก็บอกว่าเราเล่นแข็งอย่างกับหิน (หัวเราะ) เราก็เลยจริงเหรอ พอมีผลงานเรื่องต่อมา เราก็ต้องมาดูผลงานเก่าๆ ของเรา ว่าเล่นเป็นยังไง เพราะเราจะได้พัฒนาต่อไปในเรื่องที่เราได้มาใหม่ ก็ไม่คิดไปไกล คือเรามองตัวเองแล้วก็คิดว่าเราเล่นแข็งจริงๆ (หัวเราะ) แต่ก็พยามที่จะทำผลงานต่อไปให้มันดี แฟนคลับจะได้เห็นการพัฒนาของเราด้วย
ผลงานที่ทำให้รู้จัก “ออกัส วชิรวิชญ์” ก็มีของจีเอ็มเอ็ม U-prince the series เรื่องนี้ก็ทำให้มีแฟนคลับชาย-หญิงมากขึ้น แต่ที่ทุกคนทั่วไปรู้จักก็จะเป็นละครเรื่อง “ตะวันยอแสง” เป็นเรื่องแรกที่แสดงกับทางช่อง 3 แต่จริงๆ ก็ดีทุกๆ เรื่องนะสำหรับเรา
ชื่นชอบการแสดงมากขึ้น ตอนแรกไม่ชอบ พอเข้าช่อง 3 มันยากขึ้น เพราะบทไม่ใช่ตัวเรา ต้องเล่นเป็นคนอื่น มันยากขึ้นแล้ว เราคงทำไม่ได้แล้วแหละ พอโดนติหน่อย เราก็จะรู้สึกว่าทำไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วมันคือการพัฒนา ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่เอาแล้ว รู้สึกเข็ด แต่เรารู้สึกว่าอยากทำในสิ่งที่ดีๆ อยู่แล้ว กลายเป็นอาชีพที่ทำให้คนรู้จักในคนหมู่มาก พอเราจะเลิกเรารู้สึกว่ามันมีคนที่ชอบเราจริงๆ คนที่เขารอสนับสนุนเราอยู่ มีหลายคนตามมาให้กำลังใจที่งานต่างๆ เราเห็นแววตาเขาแล้วรู้สึกได้ว่าเขามีความสุข กำลังใจตรงนี้แหละที่ทำให้เราหันมาพัฒนาตัวเองจนทำให้เราชอบ ตอนนี้กลายเป็นว่ารักในอาชีพนี้มากๆ ครับ
ถ้าพูดถึงไอดอลในวงการบันเทิง มีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่อง “สิ่งเล็กเล็ก ที่เรียกว่ารัก” ที่ “พี่มาริโอ้ เมาเร่อ” กับ “พี่ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” แสดง คือพี่เขาหล่อ แล้วก็นิสัยดีน่ารัก เรียบร้อย แล้วเราก็ชอบ รู้สึกว่าโตไปหรือว่าถ้าดังอยากเป็นแบบพี่เขา คือพี่ๆ น่ารัก หล่อด้วย ตลกด้วย แล้วก็อีกคนหนึ่ง คือ “พี่ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” ชื่นชอบในการแสดงของเขา อีกอย่างพี่เขาก็หล่อด้วย เราก็ยึดพี่สองคนนี้เป็นแบบอย่างในการแสดง
สุดท้ายฝากขอบคุณแฟนคลับที่ติดตามผลงานเรา ยังไงก็ฝากทุกคนติดตามเราไปเรื่อยๆ เป็นกำลังใจให้เราไปเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นก็ยิ่งดี ไม่อยากให้ทิ้งกัน อยากให้ดูผลงานต่อไปเรื่อยๆ คือมันจะดีและมีคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกขอบคุณมากๆ ระหว่างทางท้อมากๆ แต่ไม่มีใครรู้หรอก แต่ทุกคนก็เป็นกำลังใจ ทุกๆ กำลังใจที่ส่งมาคือมันมีผลต่อตัว “กัส” ทำให้สู้จนถึงทุกวันนี้แล้วต่อๆ ไป มันต้องมีอุปสรรคอีกแน่ ก็ยังอยากให้อยู่เป็นกำลังใจให้กันอีก ก็ขอบคุณทุกคนมากๆ ขอบคุณจริงๆ
