เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “เบนซ์ ปุณยาพร” กับชีวิตที่ไกลเกินฝัน

เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “เบนซ์ ปุณยาพร” กับชีวิตที่ไกลเกินฝัน

        แจ้งเกิดและมีผลงานในวงการบันเทิงมากมาย สำหรับนักแสดงสาวมากความสามารถ “เบนซ์ ปุณยาพร พูลพิพัฒน์” ไม่ว่าจะรับบทไหน ก็แสดงออกมาได้เป็นอย่างดี แต่กว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักในวันนี้ ต้องเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ อยู่หลายปี วันนี้ “ดาราเดลี่” จะพาไปเปิดประวัติและย้อนเส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของเธอกัน 

        พูดถึงชีวิตวัยเด็กตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกเลย เป็นคนที่เรียบร้อยมาก แม่ก็เลยคิดว่ากลัวลูกจะไม่กล้าแสดงออก ก็เลยให้เราเริ่มทำกิจกรรม ออกสังคมบ้าง ต้องประกวดนั่น ประกวดนี่ ซึ่งแม่จะเป็นคนจัดการให้หมดเลยตอนนั้น พอเราได้เจอคนมากขึ้น เราก็เลยเหมือนกับพูดเก่งขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น ทำให้สนิทกับคนง่ายขึ้น  

        ความฝันในวัยเด็ก จริงๆ เลยคืออยากเป็นแอร์โฮสเตส แต่ด้วยความที่คนเรามักจะมีอะไรดึงดูด ซึ่งเมื่อก่อนสมัยเรียนเพื่อนๆ ก็จะเขียนสมุดเฟรนชิพให้ ลองย้อนกลับไปอ่านทุกคนเขียนเหมือนกันหมดเลยว่า ขอให้ได้เป็นนักแสดง ขอให้เป็นดารานะ ซึ่งตัวเราเองไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเป็นนักแสดง เราก็เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ซึ่งไม่เชื่อในที่เพื่อนเขียนสมุดเลย เราก็คงคิดว่าเราจบไปคงได้ทำงานออฟฟิศ หรือไม่ก็ไปเป็นแอร์ ซึ่งเป็นความฝันของเราตั้งแต่เด็ก แต่ดวงของเราก็ถูกทำให้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง

        เริ่มต้นเข้าสู่วงการบันเทิงจากการประกวด เวทีที่จริงจังเลยก็น่าจะเป็นเวที ดัชชี่เกิร์ล ปี 2004 เวทีนี้เพื่อนจะเป็นคนสมัครให้ ก็จะไปกับเพื่อนเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เพื่อนย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ซึ่งเราตอนนั้นเพื่อนสวยมาก น่ารัก แต่ไม่ได้ กลับเป็นเราที่ได้ ทั้งๆ เดินไม่สวย ทุกคนไม่คิดว่าเราจะได้ พอได้เข้ารอบก็จะมาประกวดที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งก็จะมีแต่ละภาคมาแข่งขันกัน เพื่อที่จะชิงชนะเลิศ แต่ครั้งนี้เราตกรอบ ทางทีมงานก็บอกกับคุณแม่ว่าให้เรากลับมาใหม่ แต่ให้มาสมัครที่ภาคกลาง เพราะปีหน้าน้องต้องโตกว่านี้ ก็เลยสู้อีกสักตั้งกับคุณแม่ ก็สมัครอีกครั้ง แล้วก็ได้เข้ารอบลึกๆ ก็ได้ขึ้นเวทีใหญ่แล้ว อย่างที่บอกมันเหมือนดวงอีกแล้ว เพราะได้รับรางวัลที่เขาประกวดหมดเลย ทั้งรางวัลสาวหน้าใส ขวัญใจช่างภาพ และก็ได้รองอันดับหนึ่ง สรุปแล้วน่าจะได้รางวัลมากกว่าคนที่ชนะเลิศอีก (หัวเราะ) เพราะว่าเรากวาด 3 รางวัลเรียบ ตอนนั้นก็รู้สึกดีใจ 

        หลังจากนั้นก็เริ่มมีชื่อเสียง ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด ก็ไม่คิดว่าเราจะมายืนอยู่จุดๆ นี้ได้ และไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้เข้ามาในวงการบันเทิง แล้วทุกอย่างมันเหมือนกับมีอะไรขีดให้เราเป็นแบบนี้ เพราะว่าพอได้ตำแหน่งปุ๊บเหมือนกับเรามากับดวงจริงๆ นะ เพราะว่าสองอาทิตย์ถ่ายละครเลย เรายังไม่ทันได้ตั้งตัว ทุกอย่างเร่งรีบไปหมด แล้วในละครเรื่องแรกที่เล่น ก็ไม่อยากเล่นอีกแล้ว เพราะมีความรู้สึกท้อ โดนด่าทุกวัน ด้วยความที่เรามีสำเนียงใต้ในการพูด ซึ่งมันยากสำหรับเรามาก ด้วยความที่เราต้องจำบท แล้วก็จำไม่ได้ด้วย ทุกอย่างคือไม่โอเค ก็เลยโทรหาแม่ บอกว่าให้หยุดก่อน ไม่อยากเล่นแล้วเพียงแค่นี้ หลังจากนั้นก็มีเข้ามาเรื่อยๆ ณ ตอนนั้น แม่ก็ให้กำลังใจเสมอ บอกว่าทุกคนก็อยากทำนะ ไม่มีใครมีโอกาสเท่าเราอีกแล้ว แม่ก็บอกว่าลองอดทนดู สู้สักครั้งหนึ่ง แม่บอกเราประโยคหนึ่งว่า ไม่มีใครได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้นะ ทุกคนคือดิ้นรน เราคือจบปุ๊บ เธอได้งานทำเลย ก็เหมือนมีความรู้สึกว่า ต้องสู้ จากนั้นความคิดของตัวเองก็เปลี่ยน 

        ผลงานละครเรื่องแรก จริงๆ ละครเรื่องแรกหลายคนจะคิดว่าเป็นละคร เรื่อง “อกธรณี” แต่จริงๆ ละครเรื่องแรกของเราคือเรื่อง “รักสุดขั้ว” ตอนนั้นเรื่อง “อกธรณี” กับ “รักสุดขั้ว” มาไล่เลี่ยกัน ด้วยความโชคดีของเราเพราะละครเรื่อง “อกธรณี” กลับดังมาก ก็เลยทำให้กระแสของเราดีไปด้วย (ยิ้ม) ณ ตอนนั้น ทุกคนก็ชมว่า เราก็ทำได้นะ ทุกคนก็อินกับตัวละครที่เราเล่น ซึ่งเป็นบทที่ยาก เพราะเล่นตั้งแต่เด็กจนโต ก็เลยทำให้เราพิสูจน์ตัวเองด้วย และอีกอย่างเราเพิ่งเป็นน้องใหม่ที่เข้ามาในวงการบันเทิงด้วย

        ส่วนตัวคิดไหมว่าจะโด่งดังมาถึงทุกวันนี้ ไม่คิดเลย เพราะว่าจริงๆ เราไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมาถึงจุดๆ นี้ แต่ด้วยความที่เราอดทน และอีกอย่างเราก็ไม่ยอมแพ้ พูดกับตัวเองเสมอว่า ความพยามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และต้องก้าวผ่านความกลัวนี้ให้ได้  

        สำหรับไอดอลในวงการับเทิง ตอนนั้นเป็นพี่ “กบ สุวนันท์” เพราะเราติดตามผลงานของพี่เขามาตั้งแต่เด็ก ซึ่งอันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่อยากจะเป็นเหมือนพี่เขา อยากจะทำให้ได้ในเมื่อเราเข้ามาแล้ว และอีกหนึ่งอย่างที่โชคดีเราได้ไปเจอ “อาดาว ดวงดาว” ท่านก็คอยสอนว่าอย่าทิ้งโอกาสในเมื่อเราเข้ามาแล้ว เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ทุกคนอยากทำ ทุกคนอยากเข้ามา แต่เข้ามาแล้วต้องรักษาให้ดี 

        วิธีรับมือกับกระแสข่าวของตนเอง สำหรับตัวเรา คิดว่านักข่าวกับนักแสดงต้องเป็นของคู่กัน ต่างคนต่างทำงาน เหมือนกัน ก็เหมือนกับน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ก็เลยมีความรู้สึกว่าเราเป็นคนชัดเจนอยู่แล้วเวลาตอบคำถาม เราไม่มีอะไรปิดบังทุกอย่าง มีอะไรเราก็ช่วยเหลือกันและกัน 

        ขอบคุณแฟนคลับ สำหรับคนที่เป็นแฟนละคร ก็ขอบคุณทุกๆ คนมากๆ เลยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามผลงานมาโดยตลอด รู้สึกปลื้มใจมากๆ บางคนยังจำละครเรื่องแรก จนถึงปัจจุบันของเบนซ์ได้อยู่เลย รู้สึกปลื้มใจมากๆ ยังไงก็ฝากติดตามกันไปเรื่อยๆ สัญญาว่าจะพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นเรื่อยๆ