เมื่อคู่กรณีจัดแถลงข่าวโต้เรื่องราวศึกน้ำแข็งใส “ไอซ์ มอนสเตอร์” แบบคนละเรื่อง โดย “ฝ้าย-ชัญญา สุนทรวงษ์” หรือ “ชัญญา โชติญาณวงษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด และ “นายสมบัติ ชัยเดชสุริยะ” ทนายความ อ้างว่าเคยส่งทนายมาเจรจากับพิธีกรชื่อดัง “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” แล้ว แถมยังผ่อนส่งค่ารถฮอนด้า แอคคอร์ด 24 งวด งวดละ 47,000 บาทให้ อีกทั้งยังมีสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้า ไอซ์มอนสเตอร์ เพราะตนซื้อสิทธิ์มาแบบขายขาดแล้ว และยืนยันว่าจะไม่มีการปิดแฟรนไชส์แน่นอน เมื่อได้เจอตัว “หนุ่ม-กรรชัย” ในงานเปิดตัวไวไวคัพฯ นายหนุ่มจึงขอโต้ทุกกรณีแบบทันทีว่า…
ทาง “ชัญญา” บอกว่าก่อนที่จะถอดถอนหุ้นได้ส่งทนายมาเจรจาจนเป็นที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย?
“ไม่เป็นความจริง และที่สำคัญมันดูเป็นเรื่องตลกเกินไป เพราะเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับผู้ถือหุ้น ผมได้เสนอกับทางศาลว่าผมถูกถอดถอนหุ้นไป และศาลพิจารณาแล้วว่ามีมูล จึงประทับรับฟ้อง ฉะนั้นผมต้องย้อนถามว่า หากอีกฝ่ายมีหลักฐานพยานทำไมถึงไม่เอามายื่นในช่วงไต่สวนมูลฟ้อง จะได้ไม่ต้องเป็นจำเลย”
“ชัญญา” บอกว่ามีพยานบุคคลซึ่งเป็นทนาย?
“ผมอยากให้พามา จะมาอ้างว่าหายตัวไปนั้นไม่ใช่ประเด็น ใครก็พูดได้ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าผมเซ็นยินยอมหรือไม่ แล้วค่อยมาว่ากัน แต่การที่มาพูดปากเปล่าแบบนี้ไม่มีน้ำหนักพอ”
“ชัญญา” อ้างว่าได้ผ่อนค่ารถฮอนด้าแอคคอร์ด 24 งวด งวดละ 47,000 บาทให้?
“ผมทำงานที่ไอซ์มอนสเตอร์ในตำแหน่งประธาน คือผมติดต่อขอพื้นที่กับทางศูนย์การค้าทั้งเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ โดยการให้อีกฝ่ายติดต่อทีหลัง ซึ่งผมมั่นใจว่าผมมีพยานเหมือนกัน รวมทั้งได้มีการโปรโมทเพื่อให้แบรนด์ไอซ์มอนสเตอร์เป็นที่รู้จักในประเทศไทย ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นผมทำงานก็ควรจะมีเงินเดือน โดยในปี 2552 ผมได้เงินเดือนๆ ละ 50,000 บาท ผมนำเงินไปซื้อรถ โดยจองรถและจ่ายค่าดาวน์เอง แต่เงินผ่อนเดือนละ 40,000 กว่าบาท ผมใช้เงินเดือนที่ได้เดือนละ 50,000 บาทให้ทางบริษัทไอดูไอซ์เป็นผู้จ่ายให้ โดยที่ไม่ต้องเอาเงินเดือนมาให้ผม แต่ในมุมกลับกัน เงินปันผล เงินรายปี กำไร ก็ต้องมีให้ผู้ถือหุ้นบ้าง แต่กลับไม่ได้”
แต่ฝ่าย “ชัญญา” อ้างว่าไม่มีกำไร และยังไม่มีใครได้เงินปันผล?
“เป็นแค่คำอ้าง อย่างน้องชายผม คือนายชัชวีร์ ซึ่งเคยเป็นผู้ถือหุ้นก็ไม่ได้เงินปันผล และอย่าว่าแต่เงินปันผล จดหมายประชุมผู้ถือหุ้นก็ยังไม่เคยได้ ซึ่งผมมีพยานเป็นผู้ถือหุ้นมายืนยันได้เหมือนกัน โดยรายละเอียดที่ผมฟ้องนั้นผมได้แถลงต่อศาลไปแล้วและศาลรับฟ้องเรียบร้อย สิ่งที่พูดในวันนี้มันมีประโยชน์ตรงไหน มีประโยชน์ตรงที่ดิสเครดิตผมหรือก็ไม่ใช่ เพราะศาลก็รับฟ้องแล้ว ควรจะเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ศาลดีกว่า”
“หนุ่ม” ต้องการอะไร?
“ทั้งนี้ไม่ได้ต้องการอะไร ผมต้องการแค่สิทธิ์ในส่วนของผมเท่านั้น ไม่ได้เรียกร้องมากไปกว่าในส่วนที่ผมควรได้”
อีกฝ่ายอ้างว่าจากเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ “นางชัญญา” และ “นายอธิป” ต้องหย่าร้างกัน?...“ผมว่าการหย่าร้างกันมันไม่เกี่ยวข้องกับผม ผมฟ้องทั้ง 2 คนในกรณีผิด พ.ร.บ.หุ้นส่วน และหากผมย้อนถามกลับว่าผมไม่ได้ทำรายการศึกน้ำผึ้งพระจันทร์เพราะมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นทำให้ต้องลาออก มันเกี่ยวหรือไม่ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่อง เพราะชีวิตส่วนตัวคือส่วนตัว ธุรกิจคือธุรกิจ”
“ชัญญา” ยืนยันว่าจะให้ทุกแฟรนไชส์ดำเนินกิจการต่อไป?
“คือผมไม่ได้บอกให้หยุด แต่คนที่บอกคือเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งคดีฟ้องร้องแยกกัน และผมเองก็ไม่เคยชวนทางฟิลิปปินส์มาจัดการเรื่องนี้ แต่ทางนั้นอ่านข่าวทั้งหมดและตรวจสอบพบว่าทางบริษัทในไทยหมดสัญญาตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ทำไมถึงไม่ติดต่อมา และทางฟิลิปปินส์ส่งอีเมลไปก็ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงขอมาแถลงข่าวร่วมกับผม”
แต่ “ชัญญา” บอกว่าไม่ได้รับการติดต่อ?
“คงต้องถามกับทางฟิลิปปินส์มากกว่า แต่ผมได้เห็นอีเมลของทางฟิลิปปินส์แล้ว และทางฟิลิปปินส์ยืนยันว่ายังไม่มีการขอยกเลิกสิทธิ์”
“ชัญญา” บอกว่าได้ซื้อสูตรมาแบบขายขาดแล้ว?
“เป็นไปไม่ได้ เพราะในสัญญากับทางฟิลิปปินส์ผมได้อ่านแล้วยืนยันว่าทางฟิลิปปินส์มีสิทธิ์เต็มที่ การที่จะบอกว่าจดชื่อ Monster ในไทย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคืออีกฝ่ายใช้ช่องว่างทางกฎหมาย แล้ว ณ วันนี้บริษัทอื่นๆ อย่างแอปเปิ้ล คงเป็นของคนไทยไปแล้วครับ” เรื่องมาสคอทที่เป็นตัวตุ๊กตาที่อีกฝ่ายอ้างว่ามีคนออกแบบไม่ได้ลอกเลียน?...“ก็เป็นสิทธิ์ของอีกฝ่าย แต่ตามกฎหมายเป็นการสร้างแบรนด์ขึ้นมาโดยใช้ภายใต้ชื่อไอซ์มอนสเตอร์ และเปลี่ยนจากรูปเท้าสัตว์ประหลาดมาเป็นตัวตุ๊กตา มันก็เป็นเรื่องที่ทางฟิลิปปินส์ต้องมาจัดการ ซึ่งผมไม่เกี่ยวข้อง แต่ตอนที่ผมเคยทำอยู่นั้นเคยเห็นในนามเจ้าของรอยเท้าไอซ์มอนสเตอร์ แต่ผมไม่รู้อยู่ดีว่าตุ๊กตาตัวนั้นจะกลายมาเป็นโลโก้ทุกวันนี้ได้อย่างไร”
ที่ “หนุ่ม” ฟ้องเพราะต้องการอะไร?
“สิ่งที่ต้องการนั้นหากพูดตรงๆ จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ซึ่งหากไม่มีผมในการโปรโมท หากพูดตามความจริง ส่วนหนึ่งมาจากผมในการโปรโมทจนคนรู้จัก และอีกฝ่ายก็ทำแล้วรสชาติออกมาดีและอร่อยซึ่งต้องยอมรับ เป็นการเดินร่วมกันมา แต่เมื่อถึงจุดสิ้นสุดก็ต้องการเรียกร้องสิทธิ์ที่ควรจะได้ ไม่ได้คิดจะเอาแบรนด์นี้มาเป็นของตัวเอง ถึงแม้จะลงเงินจดทะเบียนคนละ 200,000 บาท และถือหุ้น 15% เท่ากัน แต่ผมมีการเซ็นสัญญากับทางแคนนอน (ประเทศไทย) เพื่อถ่ายแบบโปรโมทสินค้ากับแคนนอน โดยผมไม่ได้รับเงิน แต่ขอกล้องวงจรปิดมาติดตามสาขาต่างๆของไอซ์มอนสเตอร์ นั่นก็ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เมื่อถึงจุดสิ้นสุดแล้วผมก็ต้องการอยากได้คืน”
แล้วเรื่องแฟรนไชส์ที่จะต้องปิด จะทำยังไง?
“เรื่องการปิดแฟรนไชส์ทั้งหมดนั้นผมไม่ทราบ แต่ยืนยันว่าทางฟิลิปปินส์ได้โทรหาผมและบอกว่าฟ้องแน่นอน ทำให้ผมอดเป็นห่วงแฟรนไชส์ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ และในสัญญาระบุชัดเจนว่าห้ามทำสินค้าลอกเลียนแบบหรือทำสินค้าแบบเดียวกัน หลังจากผู้รับสิทธิ์ซึ่งหมายถึงบริษัทไอดูไอซ์หมดสัญญาไปแล้ว แต่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการฟ้องร้องเรื่องแบรนด์”
เหมือนฝ่าย “ชัญญา” พูดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีไม่กี่คนจนเป็นข่าวใหญ่โต?
“ผมแถลงข่าวยืนยันว่าผมไม่ได้ชวนทางฟิลิปปินส์มา แต่ทางฟิลิปปินส์ไม่ได้โง่ เมื่อเช็กอินเตอร์เน็ตก็พบว่าไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทยมีปัญหา จึงตรวจสอบทุกอย่างทั้งหมด ประกอบกับเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาสัญญาหมดลงและได้ติดต่อเรื่องสัญญา แต่ทางนางชัญญาไม่ติดต่อกลับไป จนเขาติดต่อมาทางผม ผมจึงต้องเล่าเรื่องให้ฟัง เขาจึงขออนุญาตบินมาร่วมแถลงข่าวด้วย แต่ที่ผ่านมาผมก็ให้โอกาสอีกฝ่ายเพราะถึงอย่างไรก็เป็นน้อง แต่วันนี้ไม่รู้อีกฝ่ายไปฟังใครมา หรือตั้งใจจะดำเนินเรื่องถึงที่สุดเอง ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด คงต้องปล่อยให้ถึงขั้นนั้น” ♦