ออกมาพูดอยู่ฝ่ายเดียวถึงกรณีเข้ายื่นฟ้องร้องคดีอาญาในคดีความผิด พ.ร.บ.ห้างหุ้นส่วนจำกัด หลังจากที่ได้ร่วมหุ้นกันเปิดบริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด ขายน้ำแข็งใสในชื่อ “ไอซ์ มอนสเตอร์” ทั้งนี้คู่กรณี “ฝ้าย-ชัญญา สุนทรวงษ์” หรือ “ชัญญา โชติญาณวงษ์” พร้อมด้วย “นายสมบัติ ชัยเดชสริยะ” ทนายความส่วนตัว ได้เปิดใจพร้อมแถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีที่ต้องยื่นฟ้องร้องขึ้นที่ร้านไอซ์มอนสเตอร์ สาขาสยามสแควร์ ระบายความอัดอั้นตันใจเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง...
ทนาย : “เรื่องที่จะปิดไอซ์มอนสเตอร์ทุกสาขา ผมบอกได้เลยว่าไม่มีการปิดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าเราเป็นผู้ถือสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย ที่ทางเจ้าของลิขสิทธิ์ออกมาบอกว่าต้องปิดเพราะผิดสัญญา”
ก่อนอื่น “ไอซ์มอนสเตอร์” เกิดขึ้นมาได้ยังไง?
ทนาย : “คุณอธิป อดีตสามีของคุณฝ้ายได้ไปติดต่อกับชาวฟิลิปปินส์ โดยเชื่อว่าชาวฟิลิปปินส์คนนั้นเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าโดยถูกต้องตามกฎหมาย ตอนนั้นไม่ได้มีการตรวจสอบเอกสารใดๆ และมีการเซ็นสัญญาขอสิทธิ์ใช้เครื่องหมายการค้านั้น และเรื่องค่าตอบแทน ต่อมาได้มีการตั้งบริษัทไอดูไอซ์ เพื่อประกอบธุรกิจนี้ โดยใช้แบรนด์นี้ในขณะนั้น เมื่อดำเนินกิจการทางคุณฝ้ายได้ให้ทนายตรวจสอบเรื่องลิขสิทธิ์เพราะกลัวว่าจะมีการละเมิดลิขสิทธิ์กันเกิดขึ้น และได้รับแจ้งจากทนายว่ามีการจดเครื่องหมายการค้านี้ในประเทศไทยก่อนหน้านี้แล้ว
ทางคุณฝ้ายได้พยายามติดต่อเจ้าของลิขสิทธิ์ และได้มีการเจรจาซื้อเครื่องหมายการค้ามอนสเตอร์ และจดทะเบียนอย่างถูกต้องไว้ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาตั้งแต่ปี 2549 สำหรับทางฟิลิปปินส์ ในเมื่อมีการเซ็นสัญญาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเหมือนเดิม ไม่ได้มีการบอกเลิกสัญญา จนเมื่อต้นปีสัญญาระหว่างคุณอธิปกับทางฟิลิปปินส์ได้สิ้นสุดลง เราถือว่าเราได้มีเครื่องหมายการค้าที่ถูกต้องแล้วจึงไม่ได้มีการต่อสัญญากับทางฟิลิปปินส์คนนั้น”
ฝ้าย : “ทางเราได้มีการส่งจดหมายยกเลิกสัญญาโดยถูกต้องล่วงหน้า 1 เดือน ไม่ใช่ว่าเราไม่ทำอะไร ในเรื่องของการจดเครื่องหมายลิขสิทธิ์ เราจดแค่มอนสเตอร์ คนอื่นจะมาถือสิทธิ์แบบเดียวกับเราไม่ได้ เรื่องของการขยายสาขา ทางฝ่ายโน้นบอกว่าเราไม่ได้แจ้งให้เขาทราบ คือเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พูดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ช่วงนั้นมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เราจึงขอความช่วยเหลือในบางส่วน เพราะว่าเราเองก็ติดในเรื่องของลูกค้าแฟรนไชส์ และทางของเราเองด้วย ทางโน้นก็บอกว่า 2 ปีหลังจะเก็บเป็นรายปี
เรื่องของโลโก้การค้า สีของตัวอักษร ตัวมาสคอท ที่ดูเหมือนกับทางฟิลิปปินส์ ขอชี้แจงว่าเรื่องของตัวมาสคอท ฝ้ายเป็นคนให้น้องทำขึ้นมาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ซึ่งวันที่คุยโปรเจ็คท์นี้คุณหนุ่ม-กรรชัย ก็นั่งอยู่ด้วย และมาสคอทนี้ก็เพิ่งออกมาเมื่อปลายปี และก็มีเรื่องคดีนี้เกิดขึ้น”
ทนายความ : “คุณอธิปไปเซ็นสัญญากับฟิลิปปินส์ที่โน่น เพราะเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของลิขลิทธิ์ที่แท้จริง แต่มาทราบตอนหลังว่ามีคนไทยที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงอยู่แล้ว เราซื้อโนฮาวน์ของเขา แต่พอถามเรื่องของการจดลิขสิทธิ์ เขาก็บอกว่ากำลังดำเนินการอยู่ ระหว่างนั้นเขาก็มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์การค้า แต่ก็ยังใช้ ไอซ์ มอนสเตอร์ คำว่า ไอซ์ เป็นสระ ใครจะใช้ก็ได้ แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ มอนสเตอร์”
ทาง “หนุ่ม กรรชัย” บอกว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด?
ฝ้าย : “ก็รอวันนั้นอยู่ แต่ว่าเราไม่ได้รับการติดต่ออะไรจากเขาทั้งสิ้น ทางอดีตสามีเองก็ไม่ได้รับการติดต่อ ที่ผ่านมาเราก็รอการติดต่อจากเขา เรื่องมาไกลเกินที่จะไกล่เกลี่ยแล้ว จริงๆ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคน 2-3 คน แล้วทำไมต้องลากคนอื่นมาเดือดร้อน เรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัว ฝ้ายไม่เคยมีปัญหากับทางฟิลิปปินส์เลย”
เหมือน “หนุ่ม กรรชัย” จะถามว่าเค้าอยู่ในตำแหน่งอะไร?
ฝ้าย : “ฝ้ายอยากบอกว่าเขาอยู่ในตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ซึ่งไม่ได้มีอำนาจในการบริหารใดๆ ที่ฝ้ายเปิดแถลงข่าวในวันนี้เพื่อบอกกับแฟรนไชส์และลูกค้าของไอซ์มอนสเตอร์ให้รับทราบ ว่าวันนี้เรายังคงใช้ชื่อ ไอซ์ มอนสเตอร์ ได้เหมือนเดิม สินค้ายังเป็นของเรา เพราะที่ผ่านมามีลูกค้าที่ซื้อแฟรนไชส์ไป หรือแม้แต่พนักงานโทร.มาถามฝ้ายว่าเราต้องปิดร้านไหม ต้องตกงานหรือเปล่า คือมันกระทบไปถึงทุกคนแล้ว จึงอยากแถลงข่าวให้ได้ทราบ ส่วนข้อเท็จจริงก็ไปพิสูจน์กันในศาล ฝ้ายก็มีข้อต่อสู้ที่แสดงความบริสุทธิ์และหวังศาลเป็นที่พึ่ง เรื่องมาถึงศาลก็ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด เพราะตั้งแต่เดือนมกราคมฝ้ายตกเป็นจำเลยของสังคม ต้องหย่ากับสามีเพราะเรื่องนี้”
การที่ “หนุ่ม กรรชัย” เป็นดารา ส่งผลให้ไอซ์มอนสเตอร์มีชื่อเสียงด้วยใช่รึเปล่า?
ฝ้าย : “ก็ยอมรับว่าความดังของเขามีส่วนช่วยไอซ์มอนสเตอร์ให้เป็นที่รู้จัก แต่ถามหน่อยว่าถ้าของมันไม่ดีมันจะขายได้ไหม มันเป็นบริษัทเล็กๆ ในครอบครัว เราทุกคนช่วยกันทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน เราทุกคนมีหน้าที่ต่างกัน เราเองก็ไม่เคยมีการเซ็นสัญญากันด้วย แค่คิดว่าต้องช่วยกันทำ ฝ้ายเอง 8 โมงเช้าก็มาเปิดร้าน ปิดร้านอีกทีเที่ยงคืน เป็นอย่างนี้ 6 เดือน มันเป็นเรื่องระหว่างบุคคลกับบุคคล ขอว่าศาลรับพิจารณาแล้วก็ขอให้อยู่ในศาล จะโจมตีกันไปมาเพื่ออะไร เพราะทุกวันนี้มันไม่ใช่ฝ้ายที่เสียหายคนเดียว ชีวิตคู่ของฝ้ายก็เสีย ไหนจะลูกน้องที่ถามกันทุกวันว่าร้านจะปิดไหม ผลกระทบมันลามมากมายกว่า 200 ชีวิต”
ถ้าย้อนกลับไปแล้วรู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้จะทำรึเปล่า?
ฝ้าย : “คงไม่ทำให้เหนื่อย เราเองก็ทุ่มเทเหมือนกัน อยู่ดีๆ ฝ้ายต้องมาเสียคนที่ฝ้ายเหลือคนเดียวในชีวิต เพราะพ่อแม่ฝ้ายเสียไปแล้ว ฝ้ายต้องหย่ากับสามีเพราะเรื่องคดี เขาโดนตราหน้าทุกสิ่งอย่างว่าไม่มีอะไร มาแต่ตัว มาเกาะฝ้าย ซึ่งจริงๆ แล้วฝ้ายเดินตัวเปล่าเข้าบ้านเขา”
“หนุ่ม กรรชัย” อ้างว่ามีการเอาเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว?
ทนาย : “ต้องเรียนจากข้อเท็จจริงว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย ในการทำธุรกิจการจะลงทุนเช่าที่ใดที่หนึ่งในเรื่องของตัวเงินที่ต้องจ่ายกันจริงมันควรจะสูงกว่าที่ปรากฏในสัญญา วิธีการคือจะต้องบริหารจัดการ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปได้ด้วยดี ด้วยหลักฐานตรงนี้ เราพร้อมพิสูจน์ในศาลว่าไม่ได้เป็นการเอาบัญชีส่วนตัว แต่เป็นการเอาเข้ามาเพื่อที่จะเอาไปชำระค่าตอบแทนในการให้สถานที่ในการบริหารกิจการ”
รู้สึกยังไงกับสิ่งที่ “หนุ่ม กรรชัย” ทำตอนนี้?
ฝ้าย : “ฝ้ายว่าการที่ทำอะไรอย่างนี้มันหนักหนาเกินไป จะเอากันให้ตายไปข้างเลยหรือ ทั้งๆ ที่ฝ้ายเป็นน้อง แล้วเขาก็บอกว่าเห็นเราเป็นญาติกัน แล้วทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ที่ผ่านมาฝ้ายเคารพเขาตลอด เขามีเงินมาร่วมหุ้น 2 แสนบาท จากเงินลงทุนทั้งหมด 1.8 ล้านบาท ฝ้ายก็ให้เขาเป็นประธานบริษัท เขาเองก็ได้อะไรหลายอย่างทำไมต้องทำกันขนาดนี้อีก ถ้าเป็นพี่น้องกันจริงๆ เขาไม่ฟ้องร้องกันหรอก อยากถามว่าเขาต้องการอะไร เขาบอกว่าอยากรู้ว่าเขาอยู่ในตำแหน่งไหน นามบัตรก็มีว่าเป็นประธานบริษัท คือ ถ้าเขาอยากเป็นผู้มีอำนาจมากกว่านี้เขาก็ต้องลงทุนเยอะกว่านี้ลงทุนแค่ 2 แสนบาทจาก 1.8 ล้านบาท มันไม่ใช่ไง”
“หนุ่ม กรรชัย” บอกว่าไม่เคยได้อะไรเลย?
ฝ้าย : “ที่จริงไม่ใช่ เขาไปดาวน์รถฮอนด้าแอคคอร์ดมาหนึ่งคัน ซึ่งทางบริษัทก็ได้ผ่อนให้เดือนละ 4.7 หมื่นบาท เป็นระยะเวลา 24 เดือน และก็จ่ายเป็นเงินเดือนให้เดือนละ 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท จนกระทั่งถึงเดือนมกราคมที่ผ่านมาเป็นระยะเวลา 1 ปี”
ที่ออกมาพูดวันนี้ต้องการจะบอกอะไร?
ฝ้าย : “สื่อมวลชนช่วยเป็นธรรมกับฝ้ายด้วย เสนอข่าวในด้านฝ้ายบ้าง สังคมจะเชื่อหรือเปล่าฝ้ายไม่ทราบ เพราะที่ผ่านมาฝ้ายโดนทำร้ายมาเยอะแล้ว มากเสียจนไม่รู้จะพูดยังไง มันคือชีวิตของฝ้าย ยังไงฝ้ายก็จะทำตรงนี้ต่อเพราะยังมีคนข้างหลังรออยู่อีก แค่เรื่องบุคคล ทำไมต้องทำให้มันลามปามอะไรขนาดนี้ ซึ่งฝ้ายเองเป็นลูกผู้หญิงนะ แต่ฝ้ายก็จะสู้ ถามหน่อยว่าถ้าไม่เป็นดาราข่าวมันจะดังขนาดนี้ไหม มันเป็นแค่เรื่องธุรกิจเล็กๆ ที่สามีตั้งใจให้ฝ้ายใช้ทำแทนงานประจำก็เท่านั้นเอง”
มั่นใจรึเปล่าว่าจะชนะคดีในครั้งนี้?
ฝ้าย : “ฝ้ายก็ยังมีพยานในด้านอื่นๆ อีกเยอะ ฝ้ายไม่มั่นใจหรอกค่ะว่าจะชนะคดี 100 เปอร์เซ็นต์ คงแล้วแต่ดุลพินิจของศาลมากกว่า ฝ้ายเคารพในการตัดสินใจของศาล แต่เราก็มีหลักฐานในส่วนของเรา ก็มั่นใจแต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ ฝ้ายจะไปขึ้นศาลอีกทีวันที่ 1 กันยายนนี้ แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ไปเพราะว่ามันไม่จำเป็น” ♦