“คะน้า ริญญารัตน์” สกรีนหนักถึงขั้นสืบ รับเข็ดกับรักปลอม
ทำเอาเป็นบทเรียนในชีวิตของนักแสดงสาว “คะน้า ริญญารัตน์” หลังเจอมรสุมหนักหน่วงถูกไฮโซเก๊หลอกให้รักจนถึงขั้นแต่ง งาน ล่าสุดมีโอกาสเจอสาว “คะน้า” เลยอัปเดตหัวใจกันสักหน่อย
อ่านข่าวต่อ : “คะน้า ริญญารัตน์” เปิดใจ! หลังจับได้ว่าที่เจ้าบ่าวมีโลก 2 ใบ
“ตอนนี้โอเคแล้ว ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เป็นบทเรียนราคาแพงในชีวิตของเรา ทำให้เรามองสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป และตัดสินใจในการทำสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป ตอนนี้ตัวเขาถูกดำเนินคดีอยู่ แต่เป็นคดีเก่าของเขาเอง แต่ในคดีของเราและผู้เสียหายใหม่ ก็อยู่ในช่วงที่ตำรวจกำลังดำเนินการอยู่ สภาพจิตใจดีกลับมาเหมือนเดิมแล้ว เราต้องสู้ต่อ ดำเนินชีวิตต่อ จะไปจมปลักกับเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ ก็ใช้ชีวิต ตั้งใจทำงานต่างๆ ของเราไป ใช้คำว่าเข็ดแต่ถามว่ามีคนเข้ามามั้ย ก็มีแต่เราก็จะค่อยๆ คุย เปิดใจช้าลง ไม่รีบตัดสินใจเหมือนสมัยก่อน สกรีนเป็นโคนันเลย ใครเข้ามาคุยคือสืบลึกเลยว่าเป็นยังไง เป็นคนแบบไหน ทำอาชีพอะไร ตอนนี้เป็นหนูน้อยยอดนักสืบไปเลย ถ้ามีลับลมคมในคือไม่คุยเลย กำแพงหนาและสูงขึ้นเยอะเลย
ถามว่ายากมั้ยคนที่เข้ามาอันนั้นก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาชอบเรามากพอเขาก็ต้องพิสูจน์ว่าเขาจริงใจกับเราจริงๆ เป็นคนธรรมดา ไม่ได้ไฮโซอะไร ยอมรับว่าสืบเลย เสิร์ชหรือไปถามคนรู้จัก ถ้าไกลตัวคือไม่เอาเลย ต้องรู้จักอยู่แล้วถึงจะคุย ต้องมีคนคอนเฟิร์ม การันตีถึงจะคุย แต่ไม่ถึงกับจ้างนักสืบ สืบเองก็ได้ แต่จริงๆ ไม่ได้เกี่ยวว่าต้องเป็นไฮโซแล้วมีกำแพง แต่แค่คนๆ หนึ่งที่เข้ามาเราก็มีกำแพงแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับรวยหรือจนนะ แต่คนที่เข้ามาหลอกลวง ถ้าเขาตั้งใจเข้ามาหลอกจริงๆ เขาเข้ามาแบบไหนก็ได้ ตอนนี้โสด
ตอนนั้นคอมเมนต์แบ่งเป็น 2 ส่วนะ คือตั้งแต่ตอนแรกเลยกว่าจะออกมาออกข่าวก็คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องโดนคอมเมนต์ในเชิงต่อว่า แต่เราก็คิดว่าเราจะได้ช่วยเหลือคนอีกเยอะ เพราะเห็นในข่าวก็จะเห็นว่ามีหลายคนที่เขาตาสว่าง และคนที่โดนหลอกอยู่ รักอยู่ เขาก็ได้มารู้ความจริงว่าเขาโดนหลอกก็เพราะรู้จากเรา เราก็รู้สึกดีว่าเราได้ช่วยเหลือสังคม แต่หลายคนก็ไม่เข้าใจเราว่าเรามองคนที่เปลือกนอก ไปชอบคนรวยเหรอเลยโดนหลอก จริงๆ ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของการเปิดใจให้คนๆ หนึ่งเร็วเกินไปแค่นั้นเอง แต่คอมเมนต์ชื่นชมและให้กำลังใจเราก็มีเยอะเหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้ก็ยังมีคอมเมนต์ต่อว่าอยู่บ้างนะ เวลาไลฟ์ในติ๊กต็อกก็ยังมีแซะอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ตอบเอง เพราะคนอื่นในไลฟ์เขาก็จะเข้ามาตอบแทน จะไปว่าแทนอยู่แล้ว ตอนแรกโกรธมาก คุณแม่ยิ่งโกรธเยอะเลย และคุณแม่อยากจะฟ้องด้วย แต่เราก็คิดว่ามันเสียเวลา เสียอะไรหลายๆ อย่าง และรู้สึกว่าปล่อยผ่านไปแล้วกัน เพราะเราก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้แล้ว ก็เลยไม่ได้มีการฟ้องร้องอะไรค่ะ แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่าบางคนเขาคงว่างเกิน ชาวเน็ตเขาว่าง ไม่มีอะไรทำ ถ้าเราสามารถทำให้เขาได้ปลดปล่อยความทุกข์ออกได้นิดหน่อย เราก็ปล่อยไป ไม่ได้สนใจ เดินหน้าใช้ชีวิตทำงานของเราต่อไป ก็ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจในสิ่งที่เราตั้งใจทำออกไป และเข้ามาให้กำลังใจ และฝากเรื่องราวนี้เป็นบทเรียนกับทุกคนด้วยว่าเอาเรื่องของเราเป็นบทเรียนไว้สำหรับชีวิตของทุกๆ คน”....