“ตุ๊กกี้” น้ำตาคลอ เผยความรู้สึก 1 ปีหลังรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต
น้ำตาคลอ "ตุ๊กกี้ สุดารัตน์ บุตรพรม" ขอยึดหลักพอเพียงตามรอยพ่อหลวงในการดำเนินชีวิต พร้อมเล่าความรู้สึก 1 ปีหลังรัชกาลที่ 9 สวรรคต
เป็นอีกหนึ่งศิลปินตลกสำหรับ "ตุ๊กกี้ สุดารัตน์" หรือ "ตุ๊กกี้ชิงร้อย" ที่ได้มาร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับกิจกรรม “ใต้แสงแห่งพระบารมี” เชิญชวนประชาชนร่วมยืนสงบนิ่ง 89 วินาที ซึ่งเจ้าตัวได้เผยถึงการจากไปของ รัชกาลที่ 9 หลังครบ 1 ปี ว่า
ถ้าถามว่ารวดเร็วไหม รวดเร็วสำหรับหนึ่งปี ผ่านไป 13 ตุลาคม 2559 กับ13 ตุลาคม 2560 เป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วมากสำหรับคนที่ตั้งมั่นกับการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ตั้งแต่พระองค์ท่านได้เสียชีวิตไปสิ่งเดียวที่ตนทำได้คือใช้ความเป็นประชาชนคนหนึ่งในการดำเนินรอยตามพระราชดำริของในหลวง เพราะเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกทุกคนว่าให้พอเพียง เพราะว่าเรารู้กันอยู่ในเศรษฐกิจไทยไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ สิ่งหนึ่งที่ให้ตนอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบันนั้นคือความพอเพียง ตนก็ยึดในหลวงเป็นที่พึ่ง ทั้งเทพในใจที่บูชา และหลักธรรมที่นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างสงบ
ส่วนการที่ได้ยืนสงบนิ่งนั้น จริงๆ แล้วนั้นเป็นคนที่พูดกับหลายๆ คนว่าไม่มีบุญที่จะได้มีโอกาสเจอพระองค์ท่านตัวจริงเลย และเมื่อมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ พระองค์ท่านก็เริ่มประชวร ตนก็เลยก็ไม่มีโอกาสที่จะเจอพระองค์ท่าน พอได้มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าต้องทำ เพราะว่าตนเองเป็นคนที่ชอบทำให้ทุกคนเห็นว่าตัวเราได้ทำและอยากให้ทุกคนได้ทำตามหลังจากที่พระองค์ท่านสวรรคต ซึ่งบ้านตนนั้นได้อยู่ใกล้สนามหลวงมาก ถ้ามีโอกาสก็พร้อมจะไป ตนนั้นได้ไปสนามหลวงบ่อยครั้ง แม้บางครั้งไปในลักษณะคนปกติ บางครั้งก็คลุมทุกอย่างไปเพราะว่าหน้าตนนั้นถ้าคนเห็นแล้วจะหัวเราะ ตนเองนั้นไม่อยากให้บรรยากาศเสียเลยต้องคลุมทุกอย่าง ไปด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้ก็ทำให้ได้เปรียบหลายๆ คน เมื่อนึกถึงเมื่อไร 24 ชั่วโมงก็พร้อมไปเพื่อที่จะแสดงความเป็นประชาชนคนหนึ่งที่จงรักภักดีกับพระองค์ท่านเหมือนประชาชนทุกๆ คน และสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกทุกๆ คน คือเราเป็นคนไทยนั้นเราได้มีหน้าที่และโอกาสทำเหมือนกันทุกคนนั่นก็คือการเป็นลูกที่ดีของพ่อ เป็นคนดี เเม้กระทั่งความคิด เป็นคนดี การกระทำและประเทศชาติของเราจะนำหน้าอยู่เหมือนที่พ่อหลวงของเราได้สร้างไว้
ส่วนตนนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียง ก็เลยได้มีโอกาสเผยแพร่ในการได้ร่วมงานกับอสมท.ในการสำนึกรักในพระมหากรุณาธิคุณโดยการที่ได้ไปร่วมรำที่สนามหลวงที่กรมศิลปกรซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจมากเพราะเป็นเรื่องที่ถนัดและสามารถถ่ายทอดได้ดีมากๆ ในความเป็นตนและอยากอนุรักษ์ความเป็นวัฒนธรรมไทยโดยการสานต่อความเป็นไทย ไม่ว่าจะการใช้ชีวิตอย่างไทยๆ ซึ่งถ้ามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตนถนัด ใจมีเท่าไรก็จะมอบให้พระองค์ท่านทั้งใจ