เปิดใจเคลียร์! “เติ้ล ธนพล” พระเอกดังชีวิตตกต่ำ ติดเหล้าซ้ำป่วยหนัก
ออกมาเปิดใจเคลียร์ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต สำหรับพระเอกหนุ่ม “เติ้ล ธนพล นิ่มทัยสุข” กับคดีขโมยไฟฟ้าหลวงใช้ ไม่จ่ายค่าไฟนาน 3 ปี ชีวิตตกต่ำไม่มีผลงาน เก็บตัวเงียบ ป่วยหนักถึงขั้นพบจิตแพทย์แถมยังติดเหล้านานนับปี พร้อมถูกเมาท์เป็นดาราตกอับต้องแย่งข้าวหมาซึ่งเจ้าตัวเผยให้ฟังว่า
อ่านข่าวต่อ : แฟนๆเป็นห่วง “เติ้ล ธนพล” หลังโพสต์ภาพนอน รพ. มีสายยางโยงจากโพรงจมูก
สำหรับเรื่องการขโมยไฟใช้ ความคืบหน้าตอนนี้อยู่ในช่วงฎีกา เรื่องราววันนั้นเหมือนมีนพลิกผันไปหมด ถือว่าเราอาจจะเป็นเด็กด้วย ด้วยความที่ว่าเราอาจจะทำโดยไม่รู้เท่าถึงการณ์ หรือว่าอาจจะไม่รู้เรื่องอะไร แต่เราก็ยอมที่จะชดใช้ทั้งหมดทุกอย่างมันเป็นปกติหมด เราเสียค่าไฟเดือนนึง ผมจะเรียกว่าช้อปใหญ่ ช้อปเล็ก ช้อปใหญ่เนี่ย สองหมื่นกว่าบาทเกือบสามหมื่น เสียค่าปรับไปหลายอยู่ ประมาณแสนกว่าบาท 4 ปีก็ประมาณเดือนละพันกว่าบาท
ย้อนกลับไปตอนนั้นเรื่องราวใหญ่โตมาก ไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะพูดไปทำไม เราเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว เราไม่มีหุ้นส่วน แล้วเราไม่รู้ว่าเราจะทำยังไง เราก็เลือกที่จะรับผิดชอบเพียงคนเดียวดีกว่า กลัวคนมองเราในแง่ลบไหม เรื่องแบบนี้มันมีอยู่แล้ว มีทั้งคิดดีและคิดไม่ดี แต่เราทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว รับผิดชอบเพียงคนเดียว ในใจตอนนั้นคิดแค่นั้น ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทุกอย่างถูกแคนเซิ้ลหมด ละครโดนยกหลายเรื่อง ความรู้สึกตอนนี้ก็เสียเซลฟ์ไปเลย ทุกอย่างมันพังทลายไปในพริบตา ทุกอย่างเหมือนกับเราฆ่าคนตาย เราค้ายาเสพติด เราทำผิดมหันต์อะไรประมาณนี้ คอมเมนต์ผมเลือกที่จะไม่อ่าน ตั้งแต่เข้าวงการ แต่ก็จะมีแฟนคลับมาเล่าให้ฟัง แต่จริงๆ มันก็มีผ่านๆ ตาบ้างเล็กๆ น้อยๆ มันก็จะมีแบบเราทำผิดมาตั้งแต่เริ่ม ชีวิตนี้มึงเกิดมาทำไม อะไรประมาณนั้น เราก็แบบ เราไปทำขนาดนั้นเลยเหรอ เราไปทำร้ายเขา ทำร้ายครอบครัวเขาขนาดนั้นเลยเหรอ เขาถึงมาด่าเรา มาด่าครอบครัวเราขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เราก็ยอมรับ เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นตราบาปมากๆ
เรื่องที่ไปพบจิตแพทย์จริงๆครับ ไม่กล้าออกไปไหนเลย ระแวงครับ ไม่อยากพบปะผู้คน ไม่อยากเจอหน้าใคร เพราะว่าพอเราออกไป เรารู้สึกว่าคนนั้นก็คิด คนนี้ก็คิด เราก็ผิด พอเรารู้สึกผิดจริงมันก็รู้สึกผิดไปใหญ่ แต่เราก็ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าแม้แต่เดินออกนอกบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะพบปะกับใคร ซึ่งคุณหมอบอกว่าเป็นโรคจิตอ่อนๆ คุณหมอก็ให้ยามาทาน เพื่อให้เราหลับ ให้เราคลายกังวล คลายเครียด มันคลายไปหมดจนลืมไปหมด สมองส่วนกลางถูกทำลาย
หันมาดื่มเหล้าครับ ใช้แอลกอฮอร์เป็นตัวช่วย นอนไม่หลับก็เลือกที่จะมาเดินออกกำลังกาย เหนื่อยเมื่อไหร่หลับ เพราะว่าชีวิตทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนตัวดื่มไม่เยอะ วันนึงประมาณกลมนึง เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน จิบทั้งวัน จิบให้หลับ พอหลับได้ 1-2 ชม.หันไปหันมาไม่รู้จะทำอะไรก็ดื่มอีก ผสมน้ำ ข้าวไม่กิน เป็นแบบนี้เป็นปี
หลังจากที่ดื่มหนักๆ ร่างกายก็แย่ครั้งแรกตับพอง เส้นเลือดดำในทางเดินอาหารพอง เป็นเหมือนข้อเลือด เป็นเม็ดขึ้นมา เป็นจุด ทั้งหมด 7 จุด คุณหมอบอกว่า คุณมีระเบิดอยู่ในตัว 7 ลูก แล้ววันนั้นเป็นวันที่ไปงานเลี้ยงวันเกิดพี่ มันแตก 3 จุด ถ่ายเป็นเลือด ถ่ายไม่หยุด ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ มันออกมาทีละลิตร แต่ก่อนหน้านี้สัญญาณเตือนคือ ผมจะมีเหมือนตุ่มเลือด เหมือนตุ่มไฝตรงจมูก พอเวลาความดันเราเกิน หรือว่ามีอาการขึ้นมา มันจะแตก แล้วเลือดเนี่ย เสื้อยืด 2 ตัวบิดเป็นเลือดได้เลย ค่ารักษาก็ไม่ธรรมดาหลักล้านครับ ตอนนั้นโชคดีมีประกันครับ ถ้าไม่งั้นคงเครียดกว่าเดิม
ผ่านไปสักระยะก็กลับมาเหมือนเดิม รอบสองนี่ก็คือ โควิดรอบที่3 เมื่อวันที่1 ที่ผ่านมา คือขึ้นไปสร้างโรงเรียนที่ท่าสองยาง จังหวัด แม่ฮ่องสอน ตอนขึ้นไปก็มีการดื่มไวท์กันแก้วนึง มีผู้ใหญ่ชวนดื่ม ก็ให้เป็นเกียรติ ผมดื่มไปนิดนึง เข้านอน ตื่นเช้ามาไม่มีอาการ เช้ามาก็ขับรถออกไปอีกสัก 60 กิโล แต่มันเป็นทางขึ้นเขา ก็ไม่มีอาการอะไร ทานข้าวปกติ ขากลับมาถึงสิงห์บุรีก็ดื่มไวท์อีกแก้วนึง คราวนี้เริ่มมี เริ่มไม่ปกติ เริ่มมีท้องพองๆ เหมือนจะอาเจียน ตัดสินใจว่าจะหาโรงแรมพัก แล้วออกตอนเช้าดีกว่า พอเข้าโรงแรม อาบน้ำเสร็จ เหมือนปีโป้อยู่ในปาก 2 ชิ้น มันคือลิ่มเลือด อาเจียนออกมาในอ่างน้ำ แต่ตอนนั้นยังไม่สนใจ เพราะว่าเราทานยาบำรุงเลือดเป็นสีแดงด้วย เราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นน้ำย่อย พอออกมานั่งสักพักนึง ผมก็หยิบถังขยะมาวางข้างๆ รู้สึกพะอืดพะอม คราวนี้ครึ่งถังขยะ ออกมาเป็นเลือด
ช่วงนั้นโควิดระบาดหนัก เข้าโรงพยาบาลไม่ได้ ไม่มีที่ไหนรับเลย โทรไปโรงพยาบาลไม่มีแม้แต่ห้อง ไม่มีแม้แต่เลือดในกรุงเทพ เตียงก็ไม่มี ผมต้องเข้าโรงพยาบาลสิงห์บุรี แล้วโรงพยาบาลอยู่หลังโรงแรมพอดี ถ้าไกลกว่านั่นผมว่าผมเสียชีวิตไปแล้ว เพราะวันนั้นผมออกมาจากห้องน้ำแล้วช็อก คือไม่มีตาดำแล้ว แล้วก็ล้มไปหัวฟาดพื้น แล้วก็กระอักเลือดออกมา รักษาตัวอยู่ 5 วันนอนห้องรวม ณ ตอนนี้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ไม่กล้าดื่มอีกแล้วครับ เข็ดตลอดชีวิต
มันมีคำพูดที่ว่าคุณกลายเป็นดาราตกอับ ถึงขั้นแย่งข้าวหมากิน ก็มันเริ่มจากโควิดรอบแรก ผมเริ่มวางแผนทำมาหากิน คือ จะเพาะพันธุ์หมาขาย ไม่เป็นไร เรายังสนุก ยังมีทุนอยู่ พอโควิดรอบสอง เรากลับมาเริ่มไม่ไหวแล้ว เพื่อนก็เลยถามว่าเป็นไงบ้าง นี่ก็เลยบอกกูจะแย่งข้าวหมาแดกอยู่แล้ว พอรอบ3 มาเป็นไงบ้างว่ะเพื่อน รอบนี้ไม่แย่งข้าวหมาแดกละ กูจะแดกหมาที่เลี้ยง ก็คุยกันขำๆ ประสาเพื่อน โอเคครับ แต่ถ้าถามว่าโอเคมากไหม ถ้าบอกว่าโอเคมากก็คงโกหก ทุกอย่างก็คงประสบเจอกันทุกคน ก็ต้องรัดเข็มขัด
ถูกมองว่าดาราตกอับ งานเราน้อยลง เราอายุมากขึ้นก็ไม่ค่อยได้คิดอะไร แต่ก็พยายามทำใจว่ายังไงคลื่นลูกใหม่ก็ต้องมา หาอย่างอื่นทำได้ อย่างเช่นเกษตรกรรม เกษตรกร หรือสิ่งที่เราชอบ เราก็วางปูไว้ตั้งแต่เราอยู่ในวงการ