“สิงโต” เผยเคล็ดลับวิธีเลี้ยงลูก พลิกบทบาทใน “นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด”
“สิงโต นำโชค” รับงานภาพยนตร์กับเรื่อง “นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด” เผยเคล็ดลับการเลี้ยงลูก
อีกหนึ่งนักร้องเสียงคุณภาพอย่าง “สิงโต นำโชค” ที่หลังจากได้ปล่อยเพลงใหม่อย่าง “R U OK (เช็ด)” โดยกระแสเพลงนั้นดีมาก ล่าสุดเขากำลังมีผลงานภาพยนตร์ “นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด” ซึ่งไม่รู้ว่างานนี้หนุ่ม “สิงโต” จะต้องทำการบ้านหนักขนาดไหน หลังลองงานแสดง เมื่อเจอกับเขาได้เผยให้ฟัง พร้อมทั้งยังอัพเดทเรื่องลูกๆ ว่า
สำหรับตอนนี้มีเวลามารับงานหนัง คือเวลามีเท่ากัน 24 ชม. ตนก็จะแบ่งสรรปันส่วนกันไป ก็มีเวลาเล่นคอนเสิร์ตบ้าง มีเวลาให้ครอบครัวบ้าง จริงๆ ตนมีเวลาให้กับครอบครัวอยู่แล้ว เพียงแต่พอมีงานไหนเข้ามาก็รับบ้าง
โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้รับบทเป็นอาจารย์หนุ่มผู้มั่งคั่ง แล้วก็รูปหล่อด้วย ก็เป็นคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างไม่เหมือนกับตัวจริงเท่าไหร่ แต่ว่าผมก็รู้สึกว่ามันท้าทายดี ส่วนงานเพลง ตอนนี้ก็มีซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุด ชื่อเพลง “R U OK (เช็ด)” เพิ่งออกมาได้เมื่อไม่นานนี้ ยอดวิวสูงพอสมควร แนวเพลงเป็นเพลงป็อป สไตล์ตนเอง ฟังสบายๆ ฟังแล้วก็ให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้อยู่ด้วย เด็กฟังได้ผู้ใหญ่ฟังดี ฟังเยอะๆ ยิ่งดี
ด้านการประมูลหมวกที่ผ่านไป เรื่องประมูลของใช้ จริงๆ เป็นเพราะตอนนั้นทางภาคใต้ประสบปัญหาน้ำท่วม ตนก็อยากจะช่วยเหลือพี่น้องทางภาคใต้ ก็คิดอยู่ว่าเราจะช่วยยังไง ก็เลยคิดได้ว่าเรามีของอยู่หลายอย่างที่เราไม่ได้ใช้อยู่ที่บ้าน ซึ่งมีทั้งหมวกทั้งเครื่องดนตรี ก็เลยประมูลในเฟซบุ๊กที่เขามีไลฟ์ ก็อยากจะลองไลฟ์ดูบ้าง คนก็ให้ความสนใจเข้ามาประมูลของ แล้วก็นำรายได้ทั้งหมดไปช่วยเหลือที่ภาคใต้ ได้ประมาณแสนกว่าบาท
สำหรับเรื่องลูกคนโตนี่ 3 ขวบแล้วกำลังซน คนเล็กนี่เป็นแฝด เป็นแฝดชาย ถามว่าลูกแฝดเหนื่อยไหม ก็ไม่เหนื่อยครับเพราะแม่เขาเลี้ยง คนโน้นคนนี้ก็มาข่วยเลี้ยง พ่อก็มาแม่ก็มาช่วยเลี้ยงหลาน เพราะถ้าเลี้ยงเองสงสัยเหนื่อนเหมือนกัน จริงๆ เรื่องลูกนี่ก็ไม่ต้องวางแผนอะไรมาก เพียงแต่มีเป้าหมายไว้นิดหน่อยเท่านั้นเอง คือคนเราจริงๆ เรากลัว คิดถึงอนาคตเกินไป คืออนาคตคิดได้ก็ดีวางแผนได้ก็ดี แต่ว่าอย่าเอาทุกอย่างไปวางไว้ที่อนาคต พอวางทุกอย่างไว้กับอนาคตแล้วเกิดความกลัว คนเราเมื่อเกิดความกลัวก็จะเดินไม่ได้เพราะอยู่กับความกลัว เพราะฉะนั้นมีเป้าหมายไว้ไกลๆ แล้วค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เลี้ยงลูกเท่าที่ตนเลี้ยงได้ ใช้จ่ายเท่าที่แรงเรามีจ่ายได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้สตางค์เยอะๆ มาให้ลูกแล้วไม่มีเวลาให้ลูก อันนี้ตนไม่ใช้วิธีนี้ จะใช้วิธีมีเวลาให้ลูกมีเวลาให้งานมีเวลาให้ครอบครัว แล้วเรามีรายได้เท่าไหนเราก็จัดสรรปันส่วนใช้เท่าที่เรามี มีความสุขเท่าที่เรามี