เปิดใจครั้งแรก "แตงโม" เปลือยหมดเปลือก แคร์ทำไมกัน คน 5 %

เปิดใจครั้งแรก "แตงโม" เปลือยหมดเปลือก แคร์ทำไมกัน คน 5 %

1


                   โดนพายุ “แอนตี้” กระหน่ำรอบทิศ ตั้งแต่หนุ่มตี๋อารมณ์ดี “โตโน่-ภาคิน คําวิลัยศักดิ์” ประกาศจะเดินหน้าลุยขายขนมจีบ เมื่อนางเอกสาว “แตงโม-ภัทรธิดา พัชระวีรพงษ์” ออกมาเปิดใจถึงต้นรักที่ค่อยๆ เจริญงอกงาม ผ่านทางรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” กลับยิ่งโดนกระแสสังคมจากคนที่ “ไม่ปลื้ม” ซัดซ้ำอีกระลอก ที่แรงสุดคือเหน็บแนมรายการถึงขนาดเปลี่ยนชื่อรายการเป็น “คนอวดผัว” ไม่ว่าจะขยับตัวทําอะไรก็ดูจะ “ไม่ถูกใจ” ไปซะหมด นางเอกสาวรู้สึกยังไงกับกระแสสังคมที่จับจ้องนี้บ้าง “แตงโม” จะมาเปลือยใจให้รู้กันแบบไม่มีกั๊ก



 

จากวันที่เปิดตัวกันในฐานะ “คนพิเศษ” กระแส “แอนตี้” ก็รุมเร้าตลอด
                   “ก่อนทําอะไรเราคิดดีแล้ว ว่าสิ่งที่เราทําถูกต้อง หรือเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะโม ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา น้อยครั้งที่จะทําอะไรด้วยอารมณ์ การเปิดเผยว่าเรารู้สึกยังไงต่อกัน เรามั่นใจ และแน่ใจแล้ว และก็คิดไว้แล้วว่ากระแสรอบข้างจะกลับมาที่เรายังไง โดยทั้งหมด 100% โมสัมผัสได้ว่ามีคนที่ให้กําลังใจ และร่วมยินดีกับเรา 95% ส่วนอีก 5% คือสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งเราก็ต้องทําใจ เพราะชีวิตเราคงไม่สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง เราก็ยิ้มกับส่วนใหญ่ที่เรายินดีกับเราดีกว่า หากเราเอาแต่ดิ้นไปตาม 5% ที่เขาไม่แฮปปี้กับเรา ก็จะยิ่งเป็นทุกข์และพอเราทุกข์ ก็จะพาลทําร้ายความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ซึ่งโมคิดว่ามันไม่ใช่นะ ไม่มีประโยชน์และไม่มีผลดีกับใครเลย พอเรามีแนวคิดอย่างนี้ โมถึงตั้งหลักกับทุกอย่างได้ คนข้างๆ เราเขาก็โอเคนะ”

 

โดนเหน็บหลังจากออกรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” ว่าเป็นรายการ “คนอวดผัว” คํานี้อาจจะแรงแต่ไม่ทําให้รู้สึกแย่
                 “เห็นในกระทู้ต่างๆ เยอะมาก เขาแซวออกแนวกัดๆ เราว่ารายการคนอวดผัว ถามว่าเรารู้สึกแย่ไหม ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรจะดูแรงไหม อันนี้โมไม่รู้นะ (ยิ้ม) แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ อย่างที่โมบอกโมมองภาพรวมของคนส่วนใหญที่เขาแฮปปี้กับเรา คนที่ไม่ชอบเราเขาก็มีสิทธิ์ที่จะ พูด จะด่า จะว่า หรือไม่ชื่นชม แต่ถ้าเรารู้ตัวเอง รู้ว่าทําอะไรอยู่ สิ่งที่เราทําแฮปปี้ดีไหม ถ้าเรามีความสุข และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เราก็ไม่น่าจะเก็บสิ่งเหล่านั้นมาเป็นทุกข์”

ความเป็นสาวบุคลิกตรงๆ และด้วยคําพูดตรงๆ เลยทําให้คนตีความว่า “คนคนเดียวกัน” เป็นความหมายอื่น
                  “คําว่าคนๆ เดียวกันของโมคือเรารู้สึกนึกคิดและร่วมรับรู้ความสุขความทุกข์ร่วมกัน มันยิ่งกว่าคําว่าแชร์หรือแบ่งปัน เพราะ คนที่เป็นคนๆ เดียวกัน ความรู้สึกจะสะท้อนกลับหลายเท่า ถ้าเขาเจ็บเราจะรู้สึกเจ็บกว่า ถ้าเขาสุขเราก็สุขจนล้น มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หลายคนอาจจะมองว่าเลี่ยน แต่โมว่าความสุขของคนสองคน อธิบายลําบากนะ เรารู้อยู่อย่างว่าเป็นความรู้สึกที่ดีงาม”

กําลังใจสําคัญคือหนุ่มที่ชื่อ “โตโน่” ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เคยปล่อยมือ
                  “เขาเป็นคนดีมากๆ นะ สําหรับโมไม่มีอะไรสงสัยในตัวเขาอีกเลย หลายคนก็คงมองว่าช่วงโปรโมทก็คงมีแต่ความหอมหวาน อีกหน่อยก็คงจืดไปเอง แต่สําหรับสิ่งที่เขาทําให้เรา เห็น และทําให้เราสัมผัสได้ มันมีแต่คําว่า “มากขึ้น” และ “มากขึ้น” (น้ำเสียงหนักแน่น) ในทุกๆ วัน ใครจะมอง จะพูด จะคิดยังไง โมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ โมรู้ก็แต่ว่าสิ่งที่โมสัมผัสได้ และได้รับจากเขาคืออะไร หลายๆ อย่างที่เขาแนะนําหลักในการใช้ชีวิต ให้แง่คิด ซึ่งโมเอาไปปฏิบัติ ก็ทําให้ชีวิตดีขึ้น ปล่อยวางได้ โมว่าระหว่างเรามันไม่ใช่แค่ความรักอย่างเดียวแล้วล่ะ”

 

 

ความเป็น “คุณพ่อในร่างเด็ก” ของหนุ่มตี๋ที่มัดใจ “สาวแกร่งนอกอ่อนใน” ให้อยู่หมัด
                    “หลาย คนเห็นโมดูแข็งกระด้าง เฮฮา แต่จริงๆ แล้วโมเป็นคนอ่อนไหว เซ้นซิทีฟมากๆ ถ้าไม่ได้ทํางาน อยู่บ้าน จะเหมือนแมวเลย อยู่เงียบๆ นิ่งๆ คลอเคลีย งุ้งงิ้ง คือเป็นมุมที่แบ๊วสุดๆ แต่ความแข็งแกร่งที่เห็น มันก็เป็นอีกคาแรคเตอร์ ที่โมอยากให้คนที่อยู่รอบข้างเวลาทํางานสบายใจ ว่าเราลุยได้ทุกอย่าง ไม่ต้องกังวล และชอบที่จะสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคน แต่สําหรับเขาจะเป็นคนที่เห็นเรามากที่สุด ที่ผ่านมาผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตโมในฐานะแฟน ไม่เคยมีเลยนะ ที่จะมาทําหน้าที่เป็นผู้นําชีวิตเรา มีแต่เราที่ต้องทําหน้าที่เป็นผู้นํา โดยตัวตนที่เราดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก มันก็มีอารมณ์อ่อนล้า มีแฟนก็อยากได้คนที่ดูแล แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมี และโมก็หมดศรัทธากับความรักใน แบบที่หวังไว้ไปแล้ว ไม่คิดว่าจะเจอในตัวเขา อะไรที่คุณพ่อเคยดูแลเรา เขาทําให้เราอึ้งได้ไม่แพ้กัน สําหรับโมเขาเป็น “คุณพ่อในร่างเด็ก” ซึ่งไม่ใช่แค่โมที่เห็น คุณพ่อก็เห็น ท่านก็เลยรู้สึกว่าเบาใจบ้าง ที่มีคนดูแลเราได้”

ไม่กลัว “หมดโปร” เพราะทุกอย่าง “ใช้ใจ” เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
                    “การที่เราเรียนรู้กัน 3 เดือน และเปิดตัวในฐานะแฟน มันอาจจะดูเร็วไปแต่อะไรที่ใช่ โมว่าก็คือใช่ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนที่จะทําให้เรารักได้หมดใจต้องเป็นคนยังไง คนที่จะรักเราหมดใจเขาต้องการ อะไร  โมเป็นคริสเตียน เชื่อในพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าประทานพรมา เราก็ต้องยอมรับ วันนี้พระเจ้ากําหนดมาอย่างนี้ ก็ดําเนินชีวิตให้ดีและมีความสุขกับสิ่งนั้น ที่ผ่านมาอย่างที่บอกว่า “โมหมดศรัทธากับความรัก” ไปแล้ว เพราะไม่คิดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนจะเข้าใจ และเรียนรู้ในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็มา ก็คิดว่าน่าจะเป็นประสงค์ของพระเจ้า วันนี้มีโอกาสได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และเราก็ดีต่อกันมากๆ ก็น่ายินดีแล้ว”

ความรักเริ่มเร็วแต่มั่นคงในความรู้สึก ด้วยทฤษฎี “Love Me Love My Life” ที่ต่างคนต่างร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน 
                   “อย่าง ที่บอกคําว่า ‘คนๆ เดียวกัน’ ของโมและเขา คือเรามีความรู้สึกเดียวกัน ฉะนั้นเวลาที่เราทําอะไร เขาทําอะไร ก็จะคิดถึงกันก่อนเสมอ ไม่เฉพาะสิ่งที่ต่างคนเป็น แต่หมายรวมสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่แวดล้อมเขาด้วย ครอบครัว, งาน, สังคม, เพื่อน รวมถึงคนที่รักเรา ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้น เกิดจากความรักที่เรามีให้กัน ซึ่งก็หมายถึงผู้คน สิ่งต่างๆ ที่แวดล้อม เราก็ยินดีที่จะรักไปกับเขาด้วย ซึ่งเราคิดตรงกัน”

 

ครอบครัวคือกําลังใจให้เผชิญหน้ากับทุกปัญหา และก้าวผ่านไปด้วยความรัก
                 “ตั้งแต่เด็กโมก็มีคุณพ่อคอยเคียงข้าง คอยปกป้อง ดูแลทุกอย่าง เด็กๆ โมก็หวังนะถ้ามีแฟนเราก็อยากได้คนที่คอยปกป้อง และเป็นผู้นําชีวิตเรา แต่ที่ผ่านมาเราอาจจะไม่โชคดีนัก ก็ไม่คิดว่าจะเจอคนที่เราฝันไว้ วันนี้เขาพิสูจน์ให้เราเห็นทุกอย่างแล้ว เราก็ดีใจ ครอบครัวเขาก็น่ารัก ให้ความเอ็นดูเรา เขาเองก็เข้ากับคุณพ่อได้อย่างรวดเร็ว คุณพ่อรักมาก เหมือนต่างก็ได้ลูกชาย ลูกสาวเพิ่มเข้ามาในครอบครัว เรียกว่าทุกอย่างดี และทําให้เรามีความสุขมากๆ”

อนาคตที่มองร่วมกันมีคําว่า “แต่งงาน” อยู่ในแพลน
                “ก็ยอมรับค่ะว่ามีคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงานบ้าง พูดไปคนก็จะมองว่าเร็วไปอีก แต่อันนี้ถามโมก็ตอบ เรียกว่าแชร์ความรู้สึกกันมากกว่า เรามีมุมมองถึงเรื่องนี้คล้ายกัน ถ้าเราจะแต่งงาน อาจจะเร็วหรือช้ากว่านี้ มันก็คือพิธีๆ หนึ่ง
                ที่สําคัญคือมองว่าตรงนี้ วันนี้เราทําอะไรอยู่ ทําให้ดีที่สุด ทั้งงาน ทั้งบทบาทหน้าที่ แล้วอนาคตถ้าถึงวันนั้น พิธีที่เกิดจากความรู้สึกดีๆ ของคนสองคน ก็ไม่มีอะไรยาก ซึ่งวันนั้นอาจจะ 2 ปี 5 ปี ก็ไม่รู้ได้ วันนี้เรามีความสุขก็ดูแลกันให้ดีที่สุด ขอบคุณเขาที่เข้ามาทําให้ชีวิตโมสมบูรณ์”     

  
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Gallery ที่เกี่ยวข้อง

Comments